This is Life :  รักเมื่อพบแล้วพลัดพราก (The  Letter)

 

ที่แผนกนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ แวบแรกที่ ดิว พบ เกด ในสภาพไร้วิญญาณบนเตียงชันสูตรศพ ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงคร่ำครวญให้เพื่อนรัก เพราะเธอตกอยู่ในความช็อคและชา แต่ภายในความคิดกลับเหมือนจะพร่ำพูดอย่างไม่หยุดว่า “ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ”

 

ปฏิกิริยาชาเหมือนไร้ความรู้สึกในตอนต้นนั้น แท้แล้วก็คือ กลไกทางจิตที่พยายามเยียวยาความรู้สึก ด้วยการ “ เลื่อนเวลา”ของการรับรู้ความจริง โดยเฉพาะหากคนที่เรารักและผูกพัน ต้องตายจากไปอย่างกะทันหัน

 

เมื่ออาการช็อคและชาคลายลง  ดิวก็คงเดินกลับบ้านด้วยใจที่เลื่อนลอย  ครั้นมาถึงที่พัก  ก็พบภาพเพื่อนที่เคยถ่ายคู่กัน พบเตียงที่เพื่อนเคยนอนเคียงใกล้ พลันก็เกิดความว้าเหว่ไม่มั่นคง ยิ่งเมื่อกดโทรศัพท์ กลับพบข้อความที่เพื่อนพร่ำบ่นว่าน่าจะมาด้วยกัน ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกผิด รู้สึกโกรธ และโทษตัวเอง

 

ความโกรธ เจ็บปวด และสิ้นหวังถาโถมเข้ามาจนท่วมท้น ดิวจึงถึงกับขว้างโทรศัพท์ลงกับพื้นและร้องไห้อย่างปวดร้าว 

 

ความหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่เพื่อนที่ตายจาก ความรู้สึกผิด จะวนเวียนอยู่ในความคิดเป็นระยะที่นานพอควร จากนั้นจิตใจจะค่อยๆ ผ่อนคลายและยอมรับความจริงได้ในที่สุด

 

เช่นเดียวกับในช่วงสุดท้ายของเรื่อง เมื่อดิวรู้แน่ชัดแล้วว่า ต้นป่วยด้วยโรคร้ายและจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน แม้เธอจะยังไม่ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นและพยายามจุดประกายความหวัง

 

ต้น : “สายไปแล้วล่ะ ดิว”

ดิว : “ไม่…ไม่สายหรอก อย่ายอมแพ้สิต้น อย่ายอมแพ้”

 

แต่อาการที่ทรุดวันทรุดคืนของต้นทำให้ดิวกำลังจะทรุดตามทั้งสุขภาพกายและใจ ต้นจึงต้องฝืนข่มทำทีเป็นว่ารู้สึกดีขึ้น สดชื่นขึ้น เพื่อเป็นกำลังใจแก่ดิว หญิงที่เขาแสนรัก

 

แม้กระทั่ง  หลังจากที่ดิวได้รับ “จดหมายรัก” จากต้นที่ทยอยส่งมา (เขาเขียนไว้ล่วงหน้า  และฝากคนรู้จักช่วยส่งให้หลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว) ถ้อยคำในจดหมาย ก็ล้วนแต่ให้กำลังใจและห่วงใยดิวว่าจะเอาแต่จมอยู่กับความเศร้าโศก

 

ภาวะจิตใจของผู้สูญเสียคนที่รักใคร่ผูกพันจะมีอาการรุนแรงมากน้อยต่างกันไป  บางรายถึงกับมีอาการพร่ำพูดถึงผู้ตายไม่ยอมหยุด ผุดลุกผุดนั่งกระวนกระวาย ทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา แต่ก็ขาดสมาธิที่จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

 

ยามหลับก็มักฝันถึงผู้ที่ตายจาก ภาพในฝันก็ช่างชัดเจนเหมือนได้สัมผัสเหตุการณ์และเนื้อตัวกันจริงๆ

 แม้จะทรมาน แต่การสูญเสียพลัดพรากก็คือ ปรากฎการณ์ในชีวิตที่ต้องผ่านมา แล้วก็ย่อมผ่านพ้นไปไม่ว่าจะเป็น   

 

  • ทารกน้อยที่ต้องหย่าจากนมแม่
  • เด็ก ๆ ที่ต้องสูญเสียการพึ่งพาพ่อแม่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
  • การต้องแยกจากพ่อแม่และครอบครัวที่คุ้นเคย เมื่อแต่งงานเพื่อสร้างครอบครัวใหม่
  • การสูญเสียอิสรภาพและความสุขสบายส่วนตัว เมื่อมีลูก
  • การสูญเสียความแข็งแรงและความสามารถทางร่างกาย เมื่อย่างเข้าสู่วัยชรา ฯลฯ

 

สำหรับดิวแล้ว เหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต  ทั้งเมื่อคุณแม่แยกจากเธอไปอยู่กับสามีใหม่ หรือเกดเพื่อนรักถูกฆาตกรรมตายจากเธอไปอย่างกะทันหันนั้น หากเธอใช้ประสบการณ์ในอดีตเหล่านี้เพื่อเรียนรู้ให้เข้าใจถึงสัจธรรมของชีวิต เธอจะปลงได้ จะสุขุมและเข้มแข็งขึ้นเพียงพอที่จะยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้อย่างเป็นหลักชัยให้แก่ตนเองและลูกน้อยผู้เป็นอนุสรณ์แห่งความรักของเธอและต้น ชายคนเดียวที่จะอยู่ในหัวใจของเธอตลอดไป

 

– ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์ –