This is Life : จากคู่รัก สู่คู่ชีวิต บทเรียนความรักอมตะ (Walk the Line)

 

“จอห์นนี่ แคช และ จูน คาร์เตอร์ ราชันย์และราชินีเพลงคันทรีแห่งยุค 50 ทั้งสองครองคู่อยู่กินกันมากระทั่งอายุ 70 ปีเศษ โดยจูนเสียชีวิตในเดือน พ.ค.2003 จากนั้นอีกราว 5 เดือนถัดมา จอห์นก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบ”

 

 

Walk the Line จึงกลายเป็นตำนานรักอมตะของคู่ขวัญ ที่ต่างก็ผ่านชีวิตรักอันล้มเหลวมาแล้วอย่างปวดร้าว แต่เมื่อคนทั้งสองได้มาเจอกัน และเดินบนเส้นทางแห่งความฝันเดียวกัน ยิ่งวันเวลาผ่านไปทั้งคู่ก็ยิ่งมั่นใจว่า พวกเขาคือ “คู่แท้” ที่พร้อมจะเผชิญกับอุปสรรคนานา ผ่านร้อนผ่านหนาว และครองรักกันอย่างหวานชื่นกระทั่งลมหายใจสุดท้ายแห่งชีวิต

 

“ทั้งสองแต่งงานกันเมื่อปี 1968  มีบุตรชายด้วยกัน 1 คน  ตลอด 35 ปีแห่งการครองรัก พวกเขาแต่งเพลง และ ตระเวนทัวร์ร้องเพลงร่วมกันไปทั่วโลก”

 

เชื่อว่าใครต่อใครหลายคนบนโลกบูดเบี้ยวใบนี้ต่างก็เคยตั้งคำถามและบางคนก็พยายามหาคำตอบว่า เหตุใดคู่รักที่เคยรักกันปานจะกลืน บางคู่ก็รักและเคียงคู่กันจนชั่วฟ้าดินสลาย ในขณะหลายคู่อยู่กันก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำก็เลิกกันแล้ว หรือทนอยู่ทู่ซี้จนลูก ๆ โตก็ต่างคนต่างไปทางใครทางมัน

 

ตำนานรักของจอห์นนี่ แคช และ จูน คาร์เตอร์ น่าจะเป็นอีกกรณีศึกษาสำหรับคำถามข้างต้น พบว่า ชีวิตคู่ที่พังพินาศมักจะเกิดจากการตัดสินใจแต่งงานกันเร็วเกินไป ซึ่งมักตัดสินใจจาก แรงดึงดูดทางเพศ รสนิยมถูกใจ นิสัยไปด้วยกันได้ หรือ เหงา แท้แล้ว นั่นอาจจะเป็นเพียงขั้นตอนของการเป็นคู่รัก แต่การเป็นคู่ชีวิตควรอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยวันเวลาเป็นสิ่งพิสูจน์

 

จอห์นโทรหาวิเวียน เพื่อขอแต่งงาน ขณะที่เขากำลังเป็นทหารเกณฑ์ประจำการที่เยอรมัน

วิเวียน “โอ้ย…นี่เราแค่เคยควงกันแค่เดือนเดียว แล้วนี่ก็ไม่ได้เจอกัน 2 ปีแล้วด้วย!” 

จอห์น “ผมรักคุณนะ เราจะแต่งงานที่เวนิช”

วิเวียน​ “พ่อบอกว่า เรายังไม่รู้จักกันดีเลยด้วยซ้ำ”

 

บางทีมันอาจเป็นแค่ขั้นตอนของความลุ่มหลง หรืออาจเป็นเพียงต้องการวิ่งหนีความว้าเหว่ โดยลืมคิดให้รอบด้านและยาวไกลกว่านี้ ว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงวิถึชีวิตครั้งสำคัญ มันคือการครองชีวิตที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันในแทบทุกด้าน (นักจิตวิทยาด้านครอบครัวโดยมากหวังว่าคู่รักจะใช้เวลาพิสูจน์ดูใจ ศึกษานิสัยกันก่อนอย่างน้อยสัก 3 ปี) ยิ่งหากเป็นแค่ความหลงใหลเร่าร้อนด้วยแล้ว อายุของมันจะยืนอยู่แค่ 3 เดือน หรือ ไม่เกิน 1 ปี แล้วความรู้สึกหวือหวานั้นก็จะค่อยๆชาชืดจืดจางลง และถ้ามีพื้นฐานทางครอบครัวที่ต่างกันมาก ก็ยิ่งจะเบื่อจนทนกันไม่ได้

 

ทั้งคู่จึงควรจะผ่านร้อนผ่านหนาว ควรเคียงบ่าเคียงไหล่ผ่านวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตร่วมกัน เพื่อทั้งการได้เรียนรู้ร่วมกันและทั้งเพื่อพิสูจน์ใจของกันและกันว่าจะ “ร่วมสุขและร่วมทุกข์” กันได้มากน้อยจริงจังและหนักแน่นเพียงใด เหมือนดังการซ้อมรบก่อนเข้าสู่สมรภูมิจริง

 

แต่ในชีวิตจริงเราก็มักพบคู่รักที่ล้มเหลวมากมาย นั่นเพราะหารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพียง ระยะที่ 1 เรียกว่า Romantic love หรือระยะความรักแบบโรแมนติค หรือบางทีเรียกว่าระยะ fall in love คือระยะช่วงต้นของการเริ่มจีบ จนถึงคบกันใหม่ ๆ ระยะนี้จะเป็นระยะที่มักมีแต่อารมณ์ ใช้แต่อารมณ์ คู่รักจะมองอีกฝ่ายอย่างอุดมคติ อะไรก็ดีไปหมด ชอบอะไรก็ชอบเหมือนกันไปหมด ไม่เห็นข้อบกพร่องใด ๆ (หรือเห็นก็ไม่ใส่ใจ) เรียกว่าเกิดการ “idealization” รวมถึงต่างฝ่ายก็มักจะทำตัวดี หันแต่ด้านดี ๆ ให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็น นิสัยเสียหรือ เก็บไว้ก่อน ระยะนี้แล้วแต่คู่ ส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี (และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมแฟนกัน ควรคบกับอย่างน้อย 1 ปีก่อนแต่งงาน เพราะจะได้ข้ามไปสู่ระยะที่สองก่อนที่คิดจะผูกพันแต่งงานกัน)

ระยะที่ 2 เรียกว่า Logical – Sensible Love หรือความรักแบบมี เหตุผล หรือบางทีก็เรียกว่า fall out of love คือระยะที่การใช้แต่อารมณ์เริ่มลดลง และเริ่มมีเหตุมีผลมากขึ้น จะเริ่มเห็นความจริงมากขึ้น เห็นข้อเสียของอีกฝ่ายมากขึ้น แต่ละฝ่ายเริ่มจะหันความเป็นตัวตนที่แท้จริงออกมา นิสัยไม่ดีต่าง ๆ ก็เริ่มเห็นชัดเจนขึ้น เหตุผลต่าง ๆ จะเริ่มมีมากขึ้น เช่น จากที่จนยังไงก็ไม่สน ตอนนี้อาจเริ่มคิด ระยะนี้ส่วนใหญ่จะประมาณ 1-2 ปี ส่วนใหญ่ของคู่รักที่เข้ากันไม่ได้ ยอมรับในข้อบกพร่องของอีกฝ่ายไม่ได้ ปรับตัวไม่ได้ก็จะเลิกกันไป แต่หากยอมรับและปรับตัวกันได้ก็จะดำเนินไปต่อในระยะต่อไป

ระยะที่ 3 เรียกว่า Lifelong friendship คือความรักแบบฉันท์เพื่อน หรือบางทีก็เรียกว่าระยะ maintenance เป็นระยะที่ยอมรับกันได้ในความเป็นตัวเขาตัวเธอ รักกันแบบเหมือนเพื่อนที่รักและสนิทกัน เป็นความผูกพันความรักที่ยาวนาน แม้จะไม่ได้ in love มาก ๆ หรืออารมณ์รักหวานหยดเหมือนระยะแรก แต่ความผูกพันก็ลึกซึ้งและดำเนินคงอยู่อย่างยาวนาน

 

นั่นทำให้เราเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่า…เขาหรือเธอคนนั้น คือ “คู่แท้” ของเรา

 

1) เมื่อคุณทั้งสองพบปะพูดคุยกัน แม้จะเป็นเพียงครั้งแรก ก็จะรู้สึกได้ว่าถูกอัธยาศัย ยิ่งคุยยิ่งถูกคอ ผ่อนคลายสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ แล้วหลังจากพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง ก็เกิดความรู้สึกผูกพันคิดถึงกันอย่างลึกซึ้ง และเมื่อลองทบทวนดู คุณจะเข้าใจได้เลยว่า รักแรกพบนั้นมีจริง 

 

2) นอกจากนั้นยังเกิดฉุกคิดได้อีกว่า ที่ผ่านมานั้น คุณไม่เคยมีใครเลยจริง ๆ แม้แต่ครั้งเดียว

 

3) เมื่อคบกันไปนับนานวันเข้าก็ยิ่งเหมือนดังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้ความแตกต่างขัดแย้งจะเกิดขึ้น แต่ทั้งคู่ก็พร้อมจะปรับตัว โอนอ่อน และคลี่คลายได้อย่างง่ายดายเสมอ

 

4) ไม่มีความรู้สึกคุกคาม ควบคุม หรือแม้แต่ครอบครองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แต่ต่างก็มีอิสระ เป็นตัวของตัวเองอย่างเปิดเผย ปลอดภัยสบายใจ ทั้งยังรู้สึกเปี่ยมสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

5) ยิ่งนานวันจิตสำนึกจะบอกคุณเองว่า นี่คือการหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของจิตวิญญาณ ดังเช่น จอห์นนี่ แคช และ จูน คาร์เตอร์ ที่มีมนต์ขลังแห่งดนตรีเป็นสื่อโยงใย ทักทอจิตวิญาณของทั้งสองให้รวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเป็นพลังสร้างสรรค์สิ่งงดงามฝากไว้ให้แก่โลกใบนี้ และให้แก่ดวงใจของเขาทั้งสองตราบชั่วนิรันดร์

 

– ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์ –