ผีความเศร้ากับศิลปิน

ศิลปินอัจฉริยะในตำนานมากมาย ที่ต่อสู้กับความยากลำบากในชีวิต สรรค์สร้างผลงานขึ้นหิ้งประดับโลกเอาไว้เพียบ แต่กลับต้องพ่ายแพ้ต่อ “ความเศร้า” และจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย

ทำไม“ความเศร้า” เป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ จนแม้แต่บุคคลเหล่านี้ ก็ไม่อาจต้านทานไหว เพราะอะไร?

วินเซนต์ แวนโก๊ะ

 

วินเซนต์ แวนโก๊ะ ศิลปินชาวดัตช์ที่เป็นตำนานของโลกก็เช่นกัน เขาเจ็บป่วยจากความเศร้า และต่อสู้กับสติอันไม่อยู่กับร่องกับรอยตลอดชีวิต ลำบากตัวเองยังไม่พอยังทำคนรอบข้างปวดหัวไปด้วยวีรกรรมสุดเพี้ยน จนใครต่างก็รู้ว่านี่คืออัจริยะที่น่าชื่นชมผลงาน แต่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้รู้จักตัวตนจริงแน่

มีคำอธิบายในเชิงโรแมนติกว่า พลังที่พาวินเซนต์ระทมทุกข์และทำคนรอบข้างปวดหัว ก็เป็นพลังเดียวกับที่ขับเคลื่อนความอัจฉริยะของเค้านี่เอง

คล้ายกับซูเปอร์ฮีโร่ที่ได้รับพลังพิเศษมา แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะควบคุมพลังนั้นได้ จนมันระเบิดใส่คนรอบข้าง และสุดท้ายก็ระเบิดตัวเอง

“La Tristesse durera toujours”

คือประโยคสุดท้ายออกจากปากวินเซนต์ แวนโกะห์ พูดกับน้องชาย ก่อนจะสิ้นลม แปลว่า “The sadness will last forever. – ความเศร้าจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์” ประโยคนี้จึงคำนิยามความเศร้าที่กัดกินจิตใจคนได้ชัดที่สุด เพราะไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร สร้างผลงานยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ความเศร้านี้ก็จะยังคงอยู่ เกาะติดราวกับผีร้าย และทางเดียวที่จะหนีพ้นคือต้องตายไปตามกัน

ในกรณีของวินเซนต์ นั่นเป็นหนทางที่แวนโก๊ะเลือก ในปี 1989 เค้าหนีความเจ็บป่วยนี้ด้วยการยิงตัวตายในวัย 37 ปี 

โลกศตวรรษถัดมา ผลงานของแวนโก๊ะเป็นที่รู้จักโด่งดังขายราคานับพันล้าน ชีวิตของแวนโก๊ะจึงเป็นเหมือนภาพแทนของคำว่า “ศิลปินผู้เศร้าโศก” หรือ “อิจฉริยะคนบ้า” 

อันเป็นพล็อตที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกกับศิลปินและนักดนตรีอีกมากมาย…

 

นิค เดรค

 

นิค เดรค คือนักร้อง, นักดนตรี, นักแต่งเพลงและกวีชาวอังกฤษอัจฉริยะผู้เปราะบางเป็นโรคซึมเศร้าตลอดชีวิต เกิดในปี 1948 ที่ย่างกุ้ง ขณะครอบครัวทำงานในอาณานิคมของอังกฤษ ก่อนย้ายกลับมาอังกฤษ 

ด้วยความเติบโตมาในครอบครัวที่รักเสียงเพลงและแม่ซึ่งเป็นกวี เขาจึงเริ่มเขียนเพลงและกวีตั้งแต่ยังเล็กจนกระทั่งเข้าเรียนวรรณคดีที่แคมบริดจ์ และขณะเรียนในวัย 20 นิคเซ็นสัญญากับค่ายเพลง และใช้เวลา 5 ปีหลังจากนั้น ผลิตอัลบั้มที่ว่ากันว่า คืออัลบั้มพ็อพที่งดงามที่สุดของอังกฤษ 3 อัลบั้ม

แต่ใครจะรู้ว่า เนื้อเพลงที่บรรยายถึงความเศร้าซ้ำๆ และพูดถึงเสียงเรียกของความตายอยู่บ่อยๆ ที่เค้าร้องผ่านกีตาร์โปร่งนั้น จะเป็นสัญญานเตือนให้คนรอบข้างรู้ 

รู้ตัวหน่อยสิ ว่าเขาจะอยู่ที่นี่อีกไม่นาน

แต่ไม่ว่าคนรอบข้างจะรู้หรือไม่รู้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่สำคัญ หลังจากออกอัลบั้มได้ 3 อัลบั้ม นิคกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่ในเมืองเล็กๆชนบทภาคกลางของอังกฤษ ใช้ชีวิตด้วยเงินเพียงน้อยนิดและแยกตัวเองออกจากผู้คน วันดีคืนดีก็ไปปรากฏตัวที่บ้านเพื่อนอย่างเงียบงัน 

“นิคมักจะอยู่ดีๆปรากฏตัวที่บ้าน แทบไม่พูดอะไร นั่งฟังเพลง ดีดกีตาร์เบาๆ สูบบุหรี่และดื่มจนเมาแล้วก็หลับไป ทำแบบนั้นอยู่ 2-3 วันแล้วก็หายไป ผ่านไปสักระยะ ก็จะมาอีกและทำเช่นเดิม”

อาจารย์ที่สอนนิคที่แคมบริดจ์บรรยายถึงนิคว่า “เมื่อเค้ามองคุณ แววตาเค้าจะมองผ่านเลยไปยังที่อื่น” ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร แม้แต่คุยกับใคร นิคทำตัวราวกับตัวเองไม่ได้อยู่ตรงนั้น

ชีวิตของนิคจึงเป็นดังอัจฉริยะที่เกิดมาพร้อมพลังอันยิ่งใหญ่ แต่พลังนั้นก็สิงและกัดกินตนเอง จนตลอดเวลาที่เขาสร้างผลงาน 3 อัลบั้ม คือการหาคำตอบว่าที่ไหนกันคือที่ๆเขาควรจะไป ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่โลกใบนี้

เพลง place to be บรรยายถึงการหมกมุ่นค้นหาที่ไหนสักแห่งนั้น ที่จะเป็นสถานที่(place) ที่เขาจะ to be ได้ และในเพลง black eyed dog ก็พูดถึงหมาตาสีดำขลับส่งเสียงเห่าเรียกเค้าดังขึ้นเรื่อยๆแล้ว 

พฤษภาปี 1974 นิคซึ่งมีปัญหากับการนอน ก็ได้กินยาต้านอาการซึมเศร้า(Antidepressants)เข้าไปจำนวนมาก

แล้วก็หลับไป ไม่ตื่นอีกเลย

คือสิ่งมีชีวิตที่มาเยือนโลกโดยมีกำหนดเวลาแค่ 26 ปี เพื่อสร้างผลงานที่เหนือมนุษย์ทิ้งไว้ แล้วก็จากไป จนมีคนกล่าวว่า นิคต้องใช้ชีวิตอย่างล่องลอยและไม่มีใครสามารถคว้าไว้ได้ เพื่อที่วันนึงเค้าจากไป จะได้ไม่มีใครเศร้ามากนัก…

 

เอียน เคอร์ติส

หากมีการประกวดศิลปินอัจฉริยะที่อายุสั้น ใช้เวลาอันแสนสั้นที่สุดในชีวิตสร้างผลงานอมตะของโลก เอียน เคอร์ติส ก็คงติดอันดับอย่างไม่ต้องสงสัย

Ian Curtis เกิดปี 1956 ในครอบครัวชนชั้นแรงงานไม่ต่างจากชาวแมนเชสเตอร์ทั่วไปในเวลานั้น เติบโตมาเป็นเด็กที่สนใจในปรัชญา วรรณกรรม กวี และดนตรีและในวัยมัธยมก็ได้รับรางวัลกวีอยู่บ่อยครั้ง พร้อมๆกับความสนใจด้านดนตรี

ด้วยสภาพชีวิตวัยรุ่นตลาดล่างในเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ทำให้ตลอดช่วงวัยรุ่นเอียนใช้ชีวิตเหลวไหลปะปนไปกับการพัฒนาความสนใจในดนตรี 

เช่น ไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนแก่เพื่อขโมยยาอะไรก็ตามของคนแก่ชนิดที่ทำให้หลอนประสาทได้มาเสพกับเพื่อน หรือเมื่อไม่มีเงินซื้อแผ่นเสียง ก็ขโมยเอาจากร้านแถวบ้าน ก่อนจะจบมัธยมแล้วหางานทำ ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้งานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับล่างแถวบ้าน ในวัย 19 ปี เค้ากับเดโบราห์ แฟนที่คบหากันมาตั้งแต่อายุ 16 ก็แต่งงานกัน เริ่มต้นชีวิตครอบครัวที่อายุน้อยมาก

ในปี 1976 เอียนเจอเพื่อนวัยเด็กในคอนเสิร์ต Sex Pistols ที่มาเล่นในแมนเชสเตอร์ พวกเขาจึงพูดคุยกันและนำไปสู่การตั้งวงดนตรีด้วยกันในนาม Joy Division พร้อมกับการก่อตั้งค่ายแผ่นเสียงแมนเชสเตอร์ขนานแท้แบบ Factory Records ซึ่งทั้งวงและค่ายเพลงก็กลายเป็นตำนานของโลก

ช่วงเวลาของ Joy Division ส่วนที่เอียนสร้างขึ้น คือเนื้อเพลงและบรรยากาศทางดนตรีที่อึมครึม ไม่ต่างจากแมนเชสเตอร์ที่แข็งกระด้างและเต็มไปด้วยหมอกควันอุตสาหกรรมในปลายยุค 70s 

รวมถึงชีวิตส่วนตัวที่เต็มไปด้วยปัญหาจากการเป็นคู่สมรสอายุน้อย จากชีวิตยากจน แล้วต้องพบเจอสิ่งใหม่อย่างรวดเร็วไม่ทันตั้งตัว ทั้งหมดนำมาซึ่งความรู้สึกผิดและความเศร้าอันลึกล้ำในจิตใจ และกลายมาเป็นเนื้อเพลงที่ซับซ้อนดิ่งลึก 

ในยุคนั้นผู้คนอิ่มตัวจากกระแสเพลง Punk และอยากจะฟังอะไรมากกว่าการตะโกนด่า Fuck แล้ว ความซับซ้อนในเนื้อเพลงของเอียนจึงมาถูกที่ถูกเวลา

แต่สิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าและเป็นที่จดจำของผู้คนแม้จนปัจจุบันคือ การแต่งกายและการแสดงออกของเค้า เมื่อการแต่งกายแบบ Punk ยังครองตลาด แต่เอียนซึ่งยังใช้ชีวิตเป็นข้าราชการระดับล่าง แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อเชิ๊ตสอดเข้ากางเกงสแล็คพร้อมรองเท้าหนังขึ้นเวที

ภายใต้ชุดที่เรียบร้อยนั้น การแสดงออกของเอียนบนเวทีเป็นส่วนผสมของความประดักประเดิด งุ่มง่าม ไปจนถึงปลดปล่อยราวกับคนเสียสติ 

ด้วยการที่เอียนมีโรคลมชักเป็นโรคประจำตัว คนจึงเรียกท่าเต้นของเค้าว่าคืออาการคนเป็นลมชัก เค้าแสดงออกทั้งหมดราวกับอยู่บนเวทีคนเดียวและใช้ทั้งร่างกายบรรยายความเจ็บปวดที่แทบทะลักล้นออกมา

ลูกสาวของเอียน ลืมตาขึ้นดูโลกในปี 1979 เมื่อเค้าอายุเพียง 22 ขณะอาชีพทางดนตรีพุ่งขึ้นและพบรักกับคนใหม่ ลึกๆแล้วเอียนคือคนที่มีจิตใจดีและอยากรับผิดชอบ การทัวร์ดนตรีที่หนักหน่วง โรคลมชักประจำตัวที่หนักหนาขึ้นทุกวัน ร่างกายของเค้าราวจะฉีกขาดเมื่อความอัจฉริยะทางดนตรีและความหม่นมืดในใจดึงไปอีกทาง ขณะที่ชีวิตจริงของครอบครัวและลูกสาวตัวน้อยดึงไปอีกทาง

และเอียนในสภาพฉีกกระชากนั้น แสดงมันออกทั้งหมดบนเวที จนเค้าดูเหมือนคนบ้า และหลายครั้งเค้าก็ชักน้ำลายฟูมปากไปจริงๆ

เมื่อกายเนื้อของมนุษย์ไม่อาจทนไหว พฤษภาคม 1980 เอียนจึงผูกคอตายที่บ้านโดยทิ้งโน้ตบอกภรรยาและลูก โดยถือว่า การตายนี้คือการทำเพื่อคนอื่น เพื่อที่จะไม่มีใครต้องลำบากเพราะเค้าอีกต่อไป

เอียน เคอร์ติสจากไปในวัยเพียง 23 ปี ความเศร้าและความเจ็บปวดทั้งหลายหมดสิ้น ทิ้งบทเพลงอมตะของ Joy Division เอาไว้ เป็นการใช้ชีวิตอันแสนสั้นที่มีความหมายยิ่งต่อโลก 

แต่อาจไม่มีความหมายใดๆกับตัวเค้าเลย นอกจากความเจ็บปวด…

 

เคิร์ท โคเบน

ชีวิตของเคิร์ต โคเบน นักร้องนำแห่ง Nirvana ปัจจุบันก็คงเรียกได้ว่าเป็นเหมือนรูปเคารพของนักดนตรีทั่วโลก คือตัวอย่างที่ถูกต้องทุกประการ ของศิลปินอัจฉริยะที่เกิดมาเพื่อสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ขณะต้องแบกความเศร้าเอาไว้

Kurt Cobain เกิดปี 1967 ในซีแอตเติ้ลจากแม่ที่เป็นเด็กเสิร์ฟและพ่อช่างยนต์ ขณะเดียวกันก็มีลุงป้าเป็นนักดนตรี เคิร์ทเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดี เป็นเด็กที่จิตใจละเอียดอ่อน ห่วงใยคนรอบข้าง และพัฒนาพรสวรรค์ทางดนตรีตั้งแต่เด็ก เริ่มหัดเล่นเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ โดยมียายซึ่งเป็นศิลปินคอยสนับสนุน

ในวัย 9 ขวบ พ่อกับแม่เคิร์ทแยกทางและหย่าร้าง ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของเคิร์ทเมื่อย่างเข้าวัยรุ่นอย่างรุนแรง เมื่อพ่อ-แม่-การเป็นครอบครัวหายไป ความรู้สึก security ทั้งหมดของชีวิตก็สูญสิ้นตาม

เคิร์ทต้องไปอยู่กับครอบครัวใหม่ของพ่อกับแม่เลี้ยงซึ่งมีลูกใหม่และไม่สนใจเค้า เมื่อกลับไปหาแม่ แม่มีคู่ใหม่ที่มักตบตีทำร้ายร่างกาย บางครั้งซ้อมจนกระทั่งแม่ของเคิร์ตแขนหัก ตลอดช่วงชีวิตวัยรุ่นของเขาจึงอยู่กับความแตกสลายของครอบครัวที่ไม่อาจเยียวยา

ทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บแค้น โกรธโลกทั้งใบ และเริ่มพฤติกรรมรุนแรง กลั่นแกล้งเพื่อน ทำลายข้าวของ ต่อต้านผู้ใหญ่ จนพ่อเขาไม่สามารถเลี้ยงดูไหวจึงไปฝากอยู่กับครอบครัวของเพื่อนซึ่งเป็นคริสเตียนเคร่งครัด พาเคิร์ทเข้าโบสถ์ นั่นยิ่งนำมาซึ่งอาการต่อต้านศาสนาและพระเจ้าอย่างรุนแรง

ในช่วงเวลาเดียวกันเคิร์ทก็พบเจอกับเพื่อนแถวบ้านที่สนใจด้านดนตรีด้วยกัน จนฟอร์มวงดนตรี Nirvana ชื่อวงที่เคิร์ทเอามาจากความเชื่อในศาสนาพุทธ ซึ่งในคำแปลแบบของเคิร์ทเอง การนิพพานนี้คือ “การเป็นอิสระจากความเจ็บปวด ความทุกข์ทั้งปวง”

ซึ่งนั่นคงเป็นสิ่งที่เคิร์ทเฝ้าฝันมาตลอดนับแต่วัยเด็ก

หลังจากพวกเค้าเริ่มทำเพลงอย่างจริงจัง ได้เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ในปี 1989 และออกอัลบั้มแรกในปี 1991 อัลบั้ม Nevermind

แล้วหลังจากนั้น ทั้งหมดก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ อัลบั้มนี้ขายได้ 75 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก พวกเค้าไม่เพียงโด่งดัง แต่พลิกโลกเข้าสู่ยุคสมัยทางดนตรีแบบใหม่ Grunge Rock ซีแอตเติ้ลซาวด์ ซึ่งกลายเป็นกระแสใหญ่กวาดไปทั่วทั้งโลก ในประเทศไทยออกดอกอกผลเป็นยุคทางดนตรีที่สำคัญยิ่ง นั่นคือ “ยุคอัลเทอร์เนทีฟ”

รางวัลที่ได้มาจนล้นและยอดขายถล่มทลายทั่วโลก ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีแต่คนคลั่งไคล้ บนจุดสูงสุดของเค้า เคิร์ตถูกขนานนามว่าเป็น “เสียงแห่งยุคสมัย” เค้าเป็นมากกว่าเคิร์ต โคเบน แต่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของยุค 90s ของโลก!

ความสำเร็จและคำยกย่องมากมายที่ได้รับ ถึงที่สุดแล้ว เคิร์ทก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง

มนุษย์ที่มีจิตใจเปราะบาง เติบโตมาอย่างแตกสลาย เมื่อต้องแบกโลกทั้งใบเอาไว้จิตใจที่เปราะบางนั้นก็ไม่อาจจะรับไหว เคิร์ทเสพเฮโรอีน แต่งงานกับศิลปินร็อคหญิงชื่อดัง คอร์ทนีย์ เลิฟ ที่ก็ใช้ชีวิตห่ามพอกันและยังเล่นยาแม้แต่ตอนท้องลูกกับเคิร์ท

เมื่อต้องแบกความแตกสลายของชีวิตไปพร้อมๆกับความสำเร็จระดับมหึมาเท่าที่มนุษย์คนนึงจะได้รับ ในปี 1994 เคิร์ทจึงตัดสินใจยิงตัวตายด้วยวัย 27 ปี พร้อมกับทิ้งจดหมายลายมือแหลกสลายเต็มหน้ากระดาษ บอกรักคอร์ทนีย์และลูกสาวตัวน้อย พร้อมกับประโยคสุดท้ายซึ่งมาจากบทเพลงของ Niel Young ว่า 

It’s better to burnt out than to fade away

ระเบิดให้แสงสว่างจ้า ดีกว่าค่อยๆจางหาย…

 

เชสเตอร์ เบนนิงตั้น

การฆ่าตัวตายของศิลปินที่ช็อคโลกที่สุดในทศวรรษนี้ คงไม่มีใครเกินกรณีของเชสเตอร์ เบนนิงตั้น แห่งวงดนตรีดังก้องโลก Linkin Park

เชสเตอร์ เกิดที่รัฐแอริโซน่ามีแม่เป็นพยาบาลและพ่อเป็นตำรวจเค้าสนใจดนตรีตั้งแต่วัยเด็กและมีความฝันจะเป็นนักดนตรีร็อคตั้งแต่จำความได้ และก็เหมือนกับร็อคสตาร์ผู้แหลกสลายคนอื่นๆ ในวัย 11 ขวบ พ่อกับแม่ของเชสเตอร์หย่าร้างกัน และพ่อก็ได้สิทธิ์เลี้ยงดูเขา เมื่อครอบครัวแตกสลายในช่วงเวลาเข้าสู่วัยขบถ เค้าจึงใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นไปกับดนตรีและยาเสพติด 

นับตั้งแต่เด็กอายุ 7 ขวบเชสเตอร์ยังเคยถูกคนรู้จักลวนลามทางเพศ รวมถึงในวัยมัธยม ด้วยร่างกายที่ผอมและคาแรกเตอร์ที่แปลกแยกจากคนอื่น เค้าจึงกลายเป็นเป้าในการถูกรุมกลั่นแกล้ง bully เชสเตอร์ถูกทุบตีอย่างกับตุ๊กตาที่โรงเรียน ทุกวันที่ไปโรงเรียนมันคือนรก

ดูเหมือนไม่ใช่ชีวิตที่น่าพิสมัยนักสำหรับวัยรุ่นคนหนึ่ง แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องราวร้ายๆ ทางออกเค้ามีสองทางคือยาเสพติด และระบายมันออกด้วยการแต่งเพลง ทำดนตรี จนกระทั่งมันถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นวงดนตรี

จนกระทั่งเชสเตอร์และผองเพื่อน ได้ออกอัลบั้มแรกในนามวง Linkin Park ในปี 2000 หลังจากนั้นเป็นต้นมา ยอดขาย รางวัล ชื่อเสียง เงินทอง ทุกอย่างหลั่งไหลมาราวสึนามิ ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งความสำเร็จของพวกเขาได้ บทเพลงและเสื้อยืดโลโก้วง Linkin Park ไปไกลถึงแม้แต่บ้านนอกห่างไกลทุกมุมโลก 

ในฐานะนักร้องนำและหน้าตาของวง เชสเตอร์ เบนนิงตั้น กลับใช้ชีวิตบนความสำเร็จอันดังอึกก้องนี้ด้วยจิตใจที่ว่างโหวง จะกี่รางวัล จะกี่ล้านยอดขาย ผู้ชมเต็มสเตเดี้ยมทุกมุมโลกที่ส่งความรักให้แก่เค้า 

แต่ทั้งหมดไม่เคยเติมข้างในเชสเตอร์ให้เต็มได้เลย ประสบการณ์และความเจ็บปวดมากมายในวัยเด็ก ทำให้เค้าต้องต่อสู้กับโรคซึมเศร้าที่เรื้อรัง

เชสเตอร์แบกร่างกายที่ผอมเกร็งและจิตใจที่แหลกสลาย ผลิตงานชั้นยอดปลอบประโลมจิตใจแฟนเพลงทั่วทั้งโลกมาอีกหลายอัลบั้ม จนกระทั่งวันที่ 20 กรกฎาคม 2017 มีคนพบศพเค้าในบ้าน เสียชีวิตจากการผูกคอตายจากไปในวัย 41 ปี ไมค์ ชิโนะดะ สมาชิกในวงได้บันทึกว่าเบนนิงตันนั้นจะโศกเศร้าอย่างมากเมื่อวงแสดงเพลง One More Light ซึ่งเขาไม่สามารถร้องเพลงจนจบได้ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมหรือแสดงสด รวมถึงเนื้อเพลงจำนวนมาก ที่เชสเตอร์พยายามตะโกนบอกทุกคนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าเค้าไม่อาจจะทานทนไหวแล้ว

ก็แค่รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้นเอง…