เป็นคำถามที่เราทุกคนพยายามหาคำตอบให้กับตนเองผ่านประสบการณ์ทั้งชีวิต บางคนอาจจะกำลังค้นหา บางคนอาจจะค้นพบแล้ว บางคนอาจจะสูญเสียความตั้งใจในการมีชีวิตอยู่เพื่อค้นหาคำตอบนั้น
การยังคงซึ่งการมีชีวิตอยู่จากคำเพียงหนึ่งคำจากประสบการณ์ที่เจ็บปวดของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศจากหลากหลายสาขาอาชีพแต่ละคน กลายมาเป็นภาพถ่ายที่ส่งเสียงด้วยคำหนึ่งคำ ของคนที่ผ่านประสบการณ์และปัญหาในชีวิตและการจัดการกับปัญหาที่เลวร้ายเหล่านั้นที่แตกต่างกัน
“___” คือคำทำให้พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ในวันนี้
คำพูดหนึ่งคำในใจของคุณที่ยังทำให้คุณยังคงเดินหน้าค้นหาความหมายและยังคงมีชีวิตอยู่คือ “___” ว่าอะไร ?
One Last “Word”
Artist : Tom Potisit
Make Up : Monticha Sriyoschati
Hair : Jatupong Chumjam
Assisted by : Khemmanat Manmao
คำว่า “___” ฉุดผมขึ้นจากภวังค์ของความคิดในคืนนั้น วันที่กำยานอนหลับกว่าครึ่งกระปุกในมือ และแม่ไม่เคยโทรหาผมตอนตีสองกว่า
.
ชีวิตช่วงนั้น ผมมีปัญหาชีวิตที่เลิกกับแฟนที่คบกันมา 8 ปี และคิดปักหลักรากชีวิตกันไว้ยาวนานมาก พร้อมกับรู้สึกอกหักจากการสอบเลื่อนตำแหน่งในที่ทำงานซ้ำเข้าไปอีก มันเป็นความผิดหวังซ้ำซ้อนของคนที่กำลังรักษาอาการซึมเศร้า ในคืนที่นอนไม่หลับวันนั้น ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไร รู้แค่เพียงว่าอยากให้ตัวเองหลับไปไม่ต้องคิดอะไรมาก
.
ลุกจากเตียงด้วยน้ำตาที่ร้องไห้มากว่าชั่วโมง ดึกแล้ว ตีสองแล้ว โทรคุยกับใครก็ไม่ได้ กำยากว่าครึ่งกระปุกไว้ในมือแล้วมอง อยู่ๆเสียงมือถือก็ดังขึ้น ผมตั้งเสียงรอสายไว้เป็นเสียงแม่พูดว่า 'แม่โทรมารับสายหน่อยสิลูกๆๆๆๆ' สติมันกลับมาทันทีเลย รับสายแล้วแม่พูดคำแรกว่า 'แม่ฝันว่าแกนอนไม่หลับ แล้วจะฆ่าตัวตาย แกอยู่ไหนเนี่ย' ผมพยายามกลบเกลื่อนเสียงสะอื้นตัวเอง ทำเสียงหลอกแม่ไปเหมือนคนเพิ่งตื่นว่า 'หลับไปนานแล้วแม่ แม่คิดมาก แม่นอนเถอะ'
.
ผมเชื่อว่า จิตที่ผูกพันธ์กัน ในคืนนั้นคงส่งถึงกันให้แม่รับรู้ว่าผมกำลังจะทำอะไรโดยขาดความยั้งคิด เพราะแม่ให้ชีวิตผมอีกรอบ และสร้างให้ผมเข้าใจว่า ใครเป็นคนที่รักเราอย่างแท้จริง และชีวิตนี้เราควรมีเพื่อใครจริงๆ
ความเครียด ความกดดัน ความเศร้าและความผิดหวังต่างๆที่สะสมมาอย่างยาวนานหลายปี ไม่ได้ถูกระบายออกจากจิตใจเรา มันสะสมจนบ่อเกิดเป็นห้องมืดสีดำในใจ ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ไม่เจอทางออกของปัญหา ไม่เจอผู้ใดในห้องนั้น ไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้ มีเพียงแค่ตัวเราเท่านั้น มีเพียงแค่เราที่ไม่มีคุณค่าใดๆ ไม่ว่าต่อเพื่อน ต่อพ่อแม่ หรือต่อโลก หากหายไปก็เป็นเพียงแค่ฝุ่นเล็กๆที่หายไปจากโลกใบนี้
.
และเมื่อเราเป็นคนที่จัดการกับความรู้สึกไม่เก่ง เวลาเจอปัญหา เราต้องพยายามระบายออก แต่เราร้องไห้ไม่ได้ เนื่องด้วยสุขภาพ ครั้นจะเล่าให้เพื่อนฟังก็รู้สึกไปเองว่าเกรงใจเพื่อน สุดท้ายเราเลยเลือกที่จะหยิกตัวเอง ให้ความเจ็บมันเป็นทางออกทางความรู้สึกของเรา
.
หลังจากที่รักษาโรคซึมเศร้า ออกกำลังกายอย่างหนัก เรารู้สึกเหมือนได้ตัวเราครึ่งนึงกลับคืนมา เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเรามีตัวตนบนโลกอีกครั้ง เลยอยากรู้ว่า เมื่อเรากลับมาสู่โลกนี้อีกครั้งแล้ว เราจะไปได้ “___” แค่ไหนกันเชียว
การสูญเสียทุกอย่างจากปัญหาความสัมพันธ์ และไม่เข้าใจในการจัดการความรู้สึกที่เจ็บปวดและสับสนของตนเอง ไม่แยแสกับความห่วงใยของคนรอบข้างที่พร้อมจะช่วยเหลือดูแลความรู้สึกเรา
.
บนระเบียงห้องพัก ท่ามกลางความมืด ในคืนที่สับสนและเจ็บปวดจนคิดว่า จากความสูงของตึก 12 ชั้นถ้าโดดลงไป ความรู้สึกแปลกปลอมที่หนักเหล่านี้คงจะหมดไป และไม่ต้องรู้สึกอะไรอีก
.
หันกลับมาในห้องแล้วเห็น “___” ระลึกได้ว่า เราไม่อยากให้คนอื่นที่รักและห่วงใยเราต้องมาเจ็บปวดกับการสูญเสียอย่างที่เรารู้สึก หันหลังให้กับความคิดชั่ววูบแล้วหันหน้าเข้าหาเพื่อนและครอบครัวให้พวกเขาช่วยเยียวยาจนกลับมามีวันนี้
ความน้อยใจบวกกับความไม่เข้าเป็นช่วงเวลาที่ค้นหาตัวเองแล้วมันรู้สึกผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลยคิดเองว่าถ้าเราไม่อยู่ตรงนี้มันคงจะดีกว่านี้
.
ครั้งแรกที่ลืมตาขึ้นมาเราเห็นแม่นั่งเฝ้าอยู่แว๊บแรกคือฉันยังอยู่ ฉันอยู่ตรงนี้ และคนที่รักฉันอยู่ตรงนี้ ทำไม่ฉันไม่รักตัวเอง เป็นตัวเองที่มีความสุขให้ได้สิ ตอนั้นในใจได้ยินแต่เสียงแม่เรียกชื่อ “___” เมื่อผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ ฉันถึงรู้สึกว่าฉันเป็นฉันและฉันสบายดี
การทำร้ายตัวเองเป็นเหมือนการเบี่ยงเบนความเจ็บปวดในใจไปที่ร่างกาย แต่สำหรับการพยายามฆ่าตัวตาย เกิดขึ้นเพราะว่าอยากยุติความเจ็บปวดทั้งหมด แม้ลึกๆจะไม่ได้อยากตาย แต่ดูจะเป็นหนทางเดียวที่จะกำจัดความเจ็บปวดเหล่านั้นออกไปได้
.
ที่เลือกคำว่า “___” เพราะว่า สำหรับคนเป็นโรคซึมเศร้า การมีชีวิตอยู่มันอาจไม่มีความหมาย แต่เมื่อได้พยายามฆ่าตัวตายไปแล้ว ก็ได้รู้ว่าความตายมันก็ไม่ได้มีความหมายเหมือนกัน พอไม่มีอะไรมีความหมายสักอย่าง มันก็มาถึงจุดที่ตระหนักได้ว่า ที่เราทำได้ดีที่สุดคือยอมรับ แต่ไม่ใช่ยอมแพ้ แล้วเริ่มค้นหาความหมายของสิ่งต่างๆใหม่ ชาเลนจ์ตัวเองใหม่ แม้ว่ามันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลยในตอนแรก แต่มันจะดีขึ้น
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเราจะเกิดมาเพื่ออะไร เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครไม่ทุกข์
,
ยิ่งตายเร็วเท่าไหร่ก็อยู่กับความทุกข์น้อยเท่านั้น เพราะฉะนั้น “___”
เหนื่อยกับปัญหาต่างๆ มันดูเข้ามาพร้อมกันหมด รู้สึกแย่และท้อมากๆ เราดีลกับปัญหาไม่ได้เลย ไม่มีสติ และ ณ ตอนนั้น ก็คิดว่าเราจะผ่านมันไปไม่ได้ เพราะว่าในวันที่เราแย่ “___” ไม่เคยทิ้งเราเลย
ไม่ปรึกษาหรือเล่าปัญหาให้ใครฟัง ทำงานหนักจนเครียดและพักผ่อนไม่พอ จนเกิดอาการซึมเศร้าสะสมเป็นระยะเวลานานบวกกับผิดหวังทั้งด้านความรักและเรื่องงาน วนเวียนแบบนี้ตลอดจนรู้สึกว่า "เหนื่อยมาก ไม่อยากตื่นละได้ไหม”
.
“___” รู้สึกคำนี้เวลาพูดมันสาแก่ใจดี มันทำให้เราปลดปล่อยความรู้สึกแกมตลกจากน้ำเสียงที่เรากระแทกออกไป เวลาเราคุยกับเพื่อนหรือแบบ เออเท กูไม่เครียดละ ปล่อยละนะ และคำนี้ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเออกว่าชั้นจะโต กว่าจะออกมาจากตรงนั้นได้แม่นี่เสียเงินเสียน้ำตาเสียความรู้สึกกับเราไปมากนะ คุ้มหรือที่จะรีบฆ่าตัวตายตอนนี้เลยรู้สึกว่า เออ มันเริดนะคำนี้มันทำให้เราโล่งและฉุดสติได้อีกครั้ง
ทุกอย่างค่อย ๆ เริ่มต้นและก่อตัวขึ้นจากปัญหาภายในครอบครัว จนรู้สึกเหมือนตัวเองคือ ส่วนเกินของทุกคน คือความอึดอัดกดดัน ที่อยากหนีแต่หนีไม่ได้ ถ้าหายตัวไปคงดี ที่แย่ที่สุด คือ มันเหมือนใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่รู้ว่า เพื่อใคร เพื่ออะไร ไม่สัมผัสได้ถึงการได้เป็นส่วนหนึ่งของอะไรก็ตามบนโลกใบนี้
.
มันยังมีส่วนลึก ๆ ที่เชื่ออยู่ว่า มันต้องมีเหตุผลที่เราเกิดมา เราอาจจะมีคุณค่าสำหรับใครหรืออะไรบางอย่าง ซึ่งเราก็ยังต้องมีชีวิตอยู่เพื่อค้นหาคำตอบนั้นให้เจอ และอย่างน้อย ความเจ็บปวดที่เราผ่านมา อาจสร้างคุณค่าให้ใครสักคน ... แค่ออกค้นหา Silver Lining ของตัวเอง ที่สำคัญเราอาจจะ “___” ตัวเองน้อยไปจนไม่รู้ทิศทางที่ชีวิตจะต้องเดินต่อไป