“หลายคนจะมองเห็นว่า ครูทอมเป็นคนที่มั่นใจ ดูไม่น่าจะมีประเด็นอะไรอ่อนไหวในใจ แต่จริง ๆ แล้วคือมีเยอะมาก ทั้งเรื่องการงาน เรื่องเพื่อน ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ครอบครัว หลายอย่างมันแอบๆ อยู่ในนั้น แล้วคือไม่อยากจะพูดออกมาเพราะบางทีเราก็ไม่รู้ว่า ถ้าพูดออกมาแล้วจะไปทำร้ายความรู้สึกของใครบ้าง เราเลยเลือกที่จะเก็บไว้” จักรกฤต โยมพยอม (ครูทอม) พิธีกรรายการโทรทัศน์
สำหรับคนที่ชอบลายเส้นหวานๆ อาจจะคุ้นเคยกับชื่อของ “Paerytopia” หรือ พิมพ์ชนก ทีปพงศ์ (แพร) นักวาดที่ขยันออกผลงานบ่อยมากกก ไม่ว่าจะเป็น สินค้าที่ระลึก และคอนเทนท์ออนไลน์ ด้วยความที่ทุกวันนี้ตลาดนักวาดมีคนเข้ามาโลดแล่นในวงการมากขึ้น เราเลยอยากใช้เวลาช่วงบ่ายสั้นๆ ชวนแพรพูดคุยกันว่า “การทำงานที่เรารัก” อย่างเช่นงานวาด บางครั้งอาจไม่ได้เป็นเส้นทางที่สวยหวานเสมอไป แนะนำตัวเองหน่อยค่า ตอนนี้เป็นนักวาดภาพประกอบอิสระค่ะ ส่วนมากจะวาดภาพเป็นสไตล์ผู้หญิงๆ
สำหรับคนที่ติดตามวงการสตาร์ทอัพและสุขภาพจิต เราอาจจะคุ้นชื่อ Ooca แอพลิเคชันและเว็บแอปที่ทำให้การนัดหมายจิตแพทย์/นักจิตวิทยาเป็นเรื่องง่าย รวมไปถึงโครงการ Wall of Sharing ที่ช่วยให้นักศึกษาและเยาวชนสามารถรับการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย วันนี้เราเปลี่ยนบรรยากาศจากการพูดถึงงานของเธอมาพูดถึงคุณค่าของพื้นที่ปลอดภัยในการสนทนาผ่านการ์ดเกม Free Spirit Dialogue Starter ร่วมกับทีมงานของคุณอิ๊ก กัญจน์ภัสสร ในเย็นวันหลังเลิกงาน คนไทยมีโอกาสได้คุยเรื่องลึกๆ กันบ่อยขนาดไหน แล้วแต่สังคมว่าเค้าอยู่ในสังคมแบบไหน
คุณอาจจะรู้สึกคุ้นเคยกับสติ๊กเกอร์และสารพัดของกุ๊กกิ๊กที่ปรากฎในภาพ - ลูกไม้ ดวงกมล หรือนามแฝง Erdy (เออดี) เป็นนักวาดภาพประกอบอิสระที่ทำงานหลากหลายทั้งกราฟิก อินโฟ เวคเตอร์ ไปจนถึงสีน้ำ แม้ผลงานจะเป็นที่นิยมในกลุ่มคนวัยเรียน แต่สำหรับลูกไม้แล้ว วัย 30 ปีของเธอ คือช่วงวัยที่ “โดนล้างสมองว่าต้องมีบ้านรถ และมีเงินเก็บหลายล้าน แต่เราก็แอบคิดว่า
จากวันแรกที่สังคมรู้จักเธอในฐานะอดีตสมาชิกรุ่นแรกของวงไอดอล BNK48 สู่การผันตัวมาเป็นศิลปินอิสระ ล่าสุด “แคน นายิกา” วัย 25 ปี ก็ได้เดินทางเข้าสู่บทบาทใหม่ในฐานะนักรณรงค์และผู้ช่วยนักการเมืองที่มีผู้ติดตามบนโลกออนไลน์หลักแสน ด้วยความที่ต้องทำงานกับผู้คน และต้องบริหารความคาดหวัง เราเลยชวนแคนมานั่งคุยกันว่าจัดการกับบทบาทของตัวเองที่ท้าทายขึ้นอย่างไรผ่านการเล่นเกมการ์ด Free Spirit Dialogue Starter ซึ่งคำถามแรกที่เราถามเธอคือ ช่วงนี้ชีวิตเป็นยังไงบ้าง?
เราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เราเป็นคนที่เจอคนที่เข้ากับเราได้ยาก เป็นคนที่ไม่ได้พูดจาเก่ง ไม่ได้ชอบหรือเก่งเรื่องเข้าสังคม และด้วยวัฒนธรรม และ backgroud ที่ต่างจากเพื่อนต่างประเทศ ทำให้ในโรงเรียนที่เราไปแลกเปลี่ยนเรามีเพื่อนน้อยมาก แถมเพื่อนก็ไม่ได้ถึงขั้นสนิทกัน ก่อนจะไปแลกเปลี่ยนเพื่อนที่ไทยพูดกับเราว่า “อย่าหายไปนะ” เราจำมันได้ดี แล้วก็เชื่อมั่นในคำพูดนี้มาก ๆ ในเดือนแรกเพื่อนก็ติดต่อตลอด คอลกัน เฟซไทม์หา แชทกัน
ตอนต้นเมษาที่ผ่านมาได้ตัดสินใจไปหาจิตแพทย์ เพราะเริ่มรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองมันทำเราทรมาน ได้ข้อสรุปว่าเป็นโรคซึมเศร้า ส่วนทางครอบครัวไม่ยอมรับ ทุกคนรอบตัวคิดว่าเราคิดมาก เพราะเป็นคนเครียดง่าย ผิดหวังในตัวเองง่าย เป็นคนคิดแง่ลบอยู่แล้ว แต่มันมาพีคตอนต้นปี คือตกงาน เคราะห์ซ้ำกรรมซัด แฟนบอกเลิก หางานใหม่ก็โดนเขาหลอกว่าจะรับแต่ก็ไม่รับ พ่อกับพี่สาวก็บอกว่าเราเป็นพวกมโน คิดมากไปเอง ช่วงนั้นเรานอนทั้งวันจริงๆ ไม่ค่อยกินอะไร ชีวิตเอาแต่นอน
แต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่จำความได้ ไม่มีเพื่อนคบ เพราะเป็นคนแปลกๆ ไม่เข้าพวก โดนหาว่าเป็นคนบ้า เป็นออทิสติก เป็นพวกไม่สมประกอบ อัปลักษณ์ เพื่อนก็ไม่คบแถมต้องมาถูกล้อเลียนโดยเพื่อนทั้งโรงเรียน ไปไหนมีแต่คนล้อ มีคนแกล้ง ถูกไถตังค์ด้วย เลยเก็บกดมากๆ เกลียดทุกคน อิจฉาทุกคน เหมือนแพ้แล้วพาล ช่วงนั้นตัวเองเหมือนส่วนเกินทุกอย่าง
มันคือรอยแตกร้าวที่ไม่มีวันประสานกลับ ความุรนแรงที่เธอได้กระทำแก่ฉันมันคือการสร้างรอยแตกร้าวของจิตใจที่ไม่มีวันประสานกลับให้เป็นเหมือนเดิมได้ เธอฟาดฝ่ามือของเธอลงบนใบหน้าของฉัน ในหลายครั้งที่เรามีปากเสียง มีอารมณ์เกิดขึ้นและอยู่เหนือการควบคุมของเธอ หรือเป็นเพราะฉันเองที่ร้องไห้ไม่หยุด ส่วนมากฉันคงเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะฉันเป็นเจ้าแม่ร้องไห้ เธอลงมือทำมันกับฉันแม้ว่าฉันไม่ได้ลงมือเริ่มหรือโต้ตอบต่อความรุนแรงใดๆ ทุกครั้งที่ถูกตบหน้านอกจากความเจ็บปวดต่อร่างกายแล้ว มันเกิดความเจ็บปวดทางจิตใจทวีคูณ "เธอหวังให้ฉันหยุดร้องไห้ด้วยความรุนแรงอย่างนั้นหรือ" บางครั้ง...เธอกดฉันลงบนพื้นห้องด้วยมือทั้งสองข้าง ด้วยแขนอันแข็งแกร่งของเธอ แค่เพียงเพราะเธอต้องการให้ฉันหยุดร้องไห้ แต่มันกลับยิ่งทำให้ฉันร้องไห้หนักกว่าเดิม เพราะความเจ็บ เจ็บที่กายและใจไปพร้อมๆกัน
ในฐานะคนที่สามารถเปิดรับเรื่องราวของผู้อื่นได้ ผมมักลงเอยที่จะเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด เพราะไม่ค่อยได้รับโอกาสให้คุยเรื่องที่ตัวเองสนใจ และคนส่วนมากไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรที่แตกต่างไปจากความคาดหวังของตนเอง การถูกละเลย มองข้ามความสำคัญ และการถูกเลือกปฏิบัติ จึงเป็นที่มาของความเศร้าที่ผมเผชิญอยู่บ่อยๆ ผมมักอยู่ในสถานะที่ปรึกษาที่พร้อมจะหยุดสิ่งที่ทำอยู่ เพื่อให้เวลาใครก็ตามที่โทรหรือติดต่อผม ผมอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาของผู้อื่นได้ทุกครั้ง แต่อย่างน้อยผมเต็มใจที่จะรับฟังปัญหาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผม เพื่อให้คนอีกคนหนึ่งรู้สึกไม่โดดเดี่ยวและสบายใจขึ้น แต่ในวันที่ที่ปรึกษาคนนี้ต้องการใครสักคน เขากลับได้รับแต่คำตอบสั้นๆ แค่ว่า “แกคิดมาก” “อย่าคิดมากนะแก
ความกลัวที่จะศูนย์เสียมันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมากๆ ยิ่งเป็นเรื่องความรัก เหมือนเดินบนเส้นด้ายที่ถ้าตกลงไปก็จมอยู่กับความเศร้า และถ้าเค้าหันกลับมาประคองก็จะมีความสุขเหมือนลอยได้ แต่ถ้าเราหยุดและไม่เดินไปบนเส้นนั้นเลยจะดีกว่ามั้ย ? เมื่อกลางปีที่แล้วเราได้เลิกกับแฟนที่คบมาตั้งแต่ ม.ปลาย ตอนนั้นเราอยู่ปี 3 แล้ว ซึ่งเราทั้ง 2 คนก็ผ่านอะไรกันมาเยอะพอสมควร ยอมรับเลยว่ามันเกิดขึ้นเพราะอารมณ์ล้วนๆ พอเวลาผ่านไปเราไม่รู้สึกอะไรเลย แต่อยู่ดีๆ เรากลับมาคิดถึงเค้า
เคยรู้สึกว่าที่บางที่มันไม่เหมาะให้คนแบบเราอยู่ไหมคะ? รู้สึกแปลกแยกทุกครั้งที่อยู่บ้าน ทั้งที่มันคือบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เด็ก แต่กลับสบายใจเมื่อตอนตัดสินใจเดินออกมาเผชิญโลกกว้าง รู้สึกว่าข้างนอกมันทำให้เราเป็นตัวเองมากขึ้น ไม่รู้จักใคร ไม่มีใครรู้จักเรา ไม่ต้องแคร์สายตาคนอื่นมอง ไม่มีคำนินทาว่าร้าย เราเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนเลยค่ะ เพื่อนสนิทจริงๆก็อยู่ห่างกัน เวลาอยู่บ้านก็ชอบเก็บตัว อ่านหนังสือ ดูทีวี ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายด้วย และจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องพูดคุยกับผู้คน บ้านเราเป็นร้านขายของ แต่เราไม่ชอบพูด
หนูเป็นเด็กที่ไม่อยากโตค่ะ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยยุ่งกับใคร มักมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับตัวเอง หลายๆครั้งหนูชอบมองคนที่เดินผ่านไปมา ทั้งเพื่อน พ่อ แม่ หรือว่าผู้ใหญ่วัยทำงานหลายๆคน ตัวหนูเป็นเเบบนี้มาตั้งแต่ช่วง ม.3 ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ช่วง ม.ปลาย มันเป็นครั้งแรกที่ทำให้มีความรู้สึกที่กลัวการเติบโต รู้สึกว่าข้างหน้ามันต้องมีอะไรที่เราทำไม่ได้ อีกไม่นานเราต้องเริ่มเป็นเหมือนพี่ ม.ปลาย บางคนที่นั่งเครียดอ่านหนังสือ เหมือนพี่
การที่เรามองว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดี แต่วันหนึ่งสิ่งที่คิดมันไม่จริงขึ้นมาคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่เหมือนกัน จะต้องรู้สึกอย่างไรดีถ้าคนที่เรายกให้เขาเป็นเพื่อน เขาไม่เคยมองเราเป็นเพื่อนเลย จะต้องทำหน้าอย่างไร ถ้ารู้ว่าเขาพูดถึงเราด้วยท่าทางและสีหน้า ที่บ่งบอกถึงความรังเกียจและไม่ชอบเรา ในตอนที่เราไม่รู้ จะต้องทำตัวอย่างไรถ้าตอนที่เรายิ้มให้เขา แล้วเขาก็ยิ้มกลับมาแบบไม่มีอะไร ทั้งที่จริงๆก่อนหน้านั้นเขาพูดจาทำร้ายจิตใจเรามาก่อน เรื่องมันก็ตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว สมัยนั้นมีกลุ่มเพื่อนกลุ่มใหญ่ เพื่อนน่ารักคุยกันได้ สนิทกันช่วยเหลือกัน แต่พอนานๆเข้า มันกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น