Stories

STORIES
เรื่องราวจากทางบ้าน
Slider

 

การที่เรามองว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดี แต่วันหนึ่งสิ่งที่คิดมันไม่จริงขึ้นมาคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่เหมือนกัน   จะต้องรู้สึกอย่างไรดีถ้าคนที่เรายกให้เขาเป็นเพื่อน เขาไม่เคยมองเราเป็นเพื่อนเลย จะต้องทำหน้าอย่างไร ถ้ารู้ว่าเขาพูดถึงเราด้วยท่าทางและสีหน้า ที่บ่งบอกถึงความรังเกียจและไม่ชอบเรา ในตอนที่เราไม่รู้   จะต้องทำตัวอย่างไรถ้าตอนที่เรายิ้มให้เขา แล้วเขาก็ยิ้มกลับมาแบบไม่มีอะไร  ทั้งที่จริงๆก่อนหน้านั้นเขาพูดจาทำร้ายจิตใจเรามาก่อน   เรื่องมันก็ตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว  สมัยนั้นมีกลุ่มเพื่อนกลุ่มใหญ่ เพื่อนน่ารักคุยกันได้ สนิทกันช่วยเหลือกัน แต่พอนานๆเข้า มันกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
แต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่จำความได้ ไม่มีเพื่อนคบ  เพราะเป็นคนแปลกๆ ไม่เข้าพวก โดนหาว่าเป็นคนบ้า เป็นออทิสติก เป็นพวกไม่สมประกอบ อัปลักษณ์    เพื่อนก็ไม่คบแถมต้องมาถูกล้อเลียนโดยเพื่อนทั้งโรงเรียน  ไปไหนมีแต่คนล้อ มีคนแกล้ง ถูกไถตังค์ด้วย  เลยเก็บกดมากๆ เกลียดทุกคน อิจฉาทุกคน เหมือนแพ้แล้วพาล    ช่วงนั้นตัวเองเหมือนส่วนเกินทุกอย่าง
เราพึ่งย้ายมาอยู่หอของที่ทำงาน อยู่คนเดียวเลยออกเที่ยวบ่อย เพราะรู้สึกเหงามาก กว่าจะหลับในแต่ละคืน เที่ยว กินเหล้าบ่อยมาก   แต่เมื่อคืนมันกลับต่างออกไป เราดันนัดกินเหล้ากับคนคุยเก่า เราเคยคุย และเกือบคบ แต่เราเป็นคนทิ้งเขาไปเอง แต่หลังจากนั้นเราก็เคลียกัน จนเป็นเพื่อนกันได้   เป็นเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษากันมา 3 ปีละ ต่างคนต่างมีแฟนใหม่ แต่เผอิญดันโสดพร้อมๆกัน
มันคือรอยแตกร้าวที่ไม่มีวันประสานกลับ ความุรนแรงที่เธอได้กระทำแก่ฉันมันคือการสร้างรอยแตกร้าวของจิตใจที่ไม่มีวันประสานกลับให้เป็นเหมือนเดิมได้   เธอฟาดฝ่ามือของเธอลงบนใบหน้าของฉัน ในหลายครั้งที่เรามีปากเสียง มีอารมณ์เกิดขึ้นและอยู่เหนือการควบคุมของเธอ หรือเป็นเพราะฉันเองที่ร้องไห้ไม่หยุด ส่วนมากฉันคงเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะฉันเป็นเจ้าแม่ร้องไห้ เธอลงมือทำมันกับฉันแม้ว่าฉันไม่ได้ลงมือเริ่มหรือโต้ตอบต่อความรุนแรงใดๆ ทุกครั้งที่ถูกตบหน้านอกจากความเจ็บปวดต่อร่างกายแล้ว มันเกิดความเจ็บปวดทางจิตใจทวีคูณ "เธอหวังให้ฉันหยุดร้องไห้ด้วยความรุนแรงอย่างนั้นหรือ"   บางครั้ง...เธอกดฉันลงบนพื้นห้องด้วยมือทั้งสองข้าง ด้วยแขนอันแข็งแกร่งของเธอ แค่เพียงเพราะเธอต้องการให้ฉันหยุดร้องไห้ แต่มันกลับยิ่งทำให้ฉันร้องไห้หนักกว่าเดิม เพราะความเจ็บ เจ็บที่กายและใจไปพร้อมๆกัน
ชีวิตเราเปลี่ยนไปหมด ตั้งแต่แม่เสีย พี่สาวแต่งงาน ทะเลาะกับเพื่อน ย้ายบ้าน  โดยที่ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วง 1 เดือน   ตอนแรกก็งง ปรับตัวพักใหญ่ พอทุกอย่างสงบปุ๊บ  เหงาเฉย เหงาหนักมาก รู้สึกเคว้ง วังเวง จนซึมไปเลย   หลังจากนั้นสักพัก จู่ๆ
ผมเพิ่งผ่านช่วงเลวร้ายของชีวิตมา วันนี้ก็เป็นวันที่เลวร้ายอีกวันหนึ่ง เพราะบุพการีมีปัญหาจากการถูกโจรกรรม    เศรษฐกิจ​ที่แย่ทำร้ายเราทุกคนอย่างรุนแรง เปลี่ยนคนให้เป็นอาชญากรได้ เรานึกสงสารโจรมากกว่าว่าเขาคงไม่เหลืออะไรแล้วจนต้องเลือกวิธีนี้ ก่อนหน้านี้เราหลอนประสาท กลัวคนทำร้าย  มองคนรอบตัวว่าทุกคนสมเพชเรา พร้อมจะซ้ำเติมเรา ทั้งๆที่ความเป็นจริงคืออาการกลัวไปเอง   เราค้นพบหลังจากพบแพทย์ว่าคนหลายๆคนก็ยังพร้อมที่จะให้กำลังใจเรา  แม้จะผิดพลาด ล้มเหลว เสียสติ ทำร้ายคนอื่นอย่างรุนแรงมามากมาย  และเราขอบคุณ​พวกเขามากๆที่ยังอยู่กับเรา   
คุณอาจจะรู้สึกคุ้นเคยกับสติ๊กเกอร์และสารพัดของกุ๊กกิ๊กที่ปรากฎในภาพ - ลูกไม้ ดวงกมล หรือนามแฝง Erdy (เออดี) เป็นนักวาดภาพประกอบอิสระที่ทำงานหลากหลายทั้งกราฟิก อินโฟ เวคเตอร์ ไปจนถึงสีน้ำ  แม้ผลงานจะเป็นที่นิยมในกลุ่มคนวัยเรียน แต่สำหรับลูกไม้แล้ว วัย 30 ปีของเธอ คือช่วงวัยที่ “โดนล้างสมองว่าต้องมีบ้านรถ และมีเงินเก็บหลายล้าน แต่เราก็แอบคิดว่า
จริงๆ ก็แอบเหงานะ... เวลาไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าจะไปเล่าให้ใครฟังดี   รู้สึกว่ามีเพื่อน...  แต่ไม่ค่อยกล้าทักใครก่อน แม้แต่เพื่อนที่สนิทมากๆ เพราะเรากลัวเพื่อนไม่อยากฟัง, ไม่ว่าง ซึ่งทั้งหมดคือ คิดไปเองทั้งนั้น โดยที่ไม่เคยถามเพื่อนก่อน   จริงๆ คิดว่า เราอาจจะแค่เป็นคนขี้เกรงใจหรือมีเพื่อนสนิทน้อยแค่นั้น แต่ความจริงที่ลึกลงไปกว่านั้นคือ... ประสบการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจเป็นบาดแผลในวัยเด็ก ที่เคยถูกเพื่อนแบน
เคยรู้สึกว่าที่บางที่มันไม่เหมาะให้คนแบบเราอยู่ไหมคะ? รู้สึกแปลกแยกทุกครั้งที่อยู่บ้าน ทั้งที่มันคือบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เด็ก แต่กลับสบายใจเมื่อตอนตัดสินใจเดินออกมาเผชิญโลกกว้าง  รู้สึกว่าข้างนอกมันทำให้เราเป็นตัวเองมากขึ้น  ไม่รู้จักใคร ไม่มีใครรู้จักเรา ไม่ต้องแคร์สายตาคนอื่นมอง ไม่มีคำนินทาว่าร้าย    เราเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนเลยค่ะ เพื่อนสนิทจริงๆก็อยู่ห่างกัน  เวลาอยู่บ้านก็ชอบเก็บตัว อ่านหนังสือ ดูทีวี  ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายด้วย และจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องพูดคุยกับผู้คน   บ้านเราเป็นร้านขายของ แต่เราไม่ชอบพูด
ความเหงาเป็นสิ่งที่ไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่าจะเจอกับตัวเอง   ตอนเด็กๆจำได้ว่าเป็นเด็กที่สามารถสนุกผ่านจินตนาการตัวเอง อิสระ ไร้ซึ่งแรงกดดัน แต่พอโตขึ้นความกลัวก็เริ่มเกาะกินใจ ....เด็กในวันนั้นหายไปไหน...   ไม่มีเสียงตอบรับ...   ทุกๆวันใช้ชีวิตกับคำถามที่ว่าเราเป็นอะไรกันแน่ ?    เมื่อความกลัวเข้าถึงแก่นก็ทำให้รับรู้ได้ว่าโลกนี้มันช่างแย่เสียเหลือเกิน  และความเศร้าก็เริ่มตามมา    เราเถียงกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา  จนสุดท้ายต้องเว้นระยะจากทุกคน  เพื่อให้ทุกคนไม่มาเจ็บปวดกับสิ่งเหล่านี้  
เราจะรู้สึกเหงาทุกครั้งเมื่อคิดถึงเพื่อนเก่าๆ  เรามักจะคิดว่าทำไมเราถึงไม่มีเพื่อนเหลือเลย  เราทำผิดตรงไหนรึป่าว?    ตอนเด็ก เราเคยเป็นคนที่ชอบบังคับคนอื่น มองโลกในแง่ลบ และคอยจ้องจับผิดว่าคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี  เราคิดว่าเพราะนิสัยแบบนี้เลยทำให้เราไม่มีเพื่อนสนิทเลย  พอขึ้นมหาลัย เราเลยเปลี่ยนตัวเองและก็มีเพื่อนที่รู้สึกสนิทใจด้วย  จนเรียนจบ เราคิดว่าความสัมพันธ์นี้จะยืนยาว... แต่เพราะหลายปีมานี้เรากับเพื่อนแทบจะไม่ได้เจอกัน แล้วความสัมพันธ์ก็ค่อยๆลดลง    ตอนนี้เราไม่ได้คุยกับเพื่อน เราคิดว่าอยู่ได้  แต่พอเห็นภาพของคนอื่นๆในเฟส  เราก็คิดว่าทำไมเราถึงไม่คุยกับเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ 
ในฐานะคนที่สามารถเปิดรับเรื่องราวของผู้อื่นได้  ผมมักลงเอยที่จะเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด เพราะไม่ค่อยได้รับโอกาสให้คุยเรื่องที่ตัวเองสนใจ  และคนส่วนมากไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรที่แตกต่างไปจากความคาดหวังของตนเอง  การถูกละเลย มองข้ามความสำคัญ และการถูกเลือกปฏิบัติ จึงเป็นที่มาของความเศร้าที่ผมเผชิญอยู่บ่อยๆ   ผมมักอยู่ในสถานะที่ปรึกษาที่พร้อมจะหยุดสิ่งที่ทำอยู่ เพื่อให้เวลาใครก็ตามที่โทรหรือติดต่อผม  ผมอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาของผู้อื่นได้ทุกครั้ง  แต่อย่างน้อยผมเต็มใจที่จะรับฟังปัญหาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผม เพื่อให้คนอีกคนหนึ่งรู้สึกไม่โดดเดี่ยวและสบายใจขึ้น    แต่ในวันที่ที่ปรึกษาคนนี้ต้องการใครสักคน  เขากลับได้รับแต่คำตอบสั้นๆ แค่ว่า “แกคิดมาก” “อย่าคิดมากนะแก
หนูเป็นเด็กที่ไม่อยากโตค่ะ  เป็นเด็กที่ไม่ค่อยยุ่งกับใคร มักมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับตัวเอง  หลายๆครั้งหนูชอบมองคนที่เดินผ่านไปมา ทั้งเพื่อน พ่อ แม่ หรือว่าผู้ใหญ่วัยทำงานหลายๆคน   ตัวหนูเป็นเเบบนี้มาตั้งแต่ช่วง ม.3 ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ช่วง ม.ปลาย  มันเป็นครั้งแรกที่ทำให้มีความรู้สึกที่กลัวการเติบโต  รู้สึกว่าข้างหน้ามันต้องมีอะไรที่เราทำไม่ได้    อีกไม่นานเราต้องเริ่มเป็นเหมือนพี่ ม.ปลาย บางคนที่นั่งเครียดอ่านหนังสือ  เหมือนพี่
ช่วงแรกของการเรียนมหาลัย เราพยายามช่วยให้เพื่อน 10 คนเรียน กับเพื่อนอีกคนนึง  เพราะเราค่อนข้างหัวไว พยายามกระตุ้น  แล้วเพื่อนอีกคนที่ช่วยก็ซิ่วไป เราเลยต้องแบกทีม    จนทะเลาะกันกับคนที่ไม่ได้ทำงาน 2 คน เรื่องใหญ่มาก  แล้วเราก็เลยแยกออกมาคนเดียว  เพราะเราให้ทั้งใจแต่เจอแบบนี้เลยรู้สึกแย่มาก    หลังจากนั้นก็กลัวการเข้าสังคมขึ้นมา  ไม่กล้ารู้จักใครได้นาน หรือสนิทมาก 
หนูรู้จักกับเขาโดยบังเอิญ และเราก็คุยกันมาเรื่อยๆในฐานะพี่น้อง  ตอนแรกหนูแค่มีความรู้สึกดีด้วยเฉยๆ  คิดว่าเขาดูคุยง่าย เฟรนด์ลี่ดี คุยสนุก  มีอะไรเขาก็เป็นที่ปรึกษาแนะนำให้เราดี  เป็นเพื่อนคุยแก้เหงา  เขายอมให้หนูระบายสิ่งที่อึดอัดในใจ  ทำให้หนูมีความรู้สึกดีๆกับเขา...   วันหนึ่ง อยู่ๆเขาก็บอกว่า เขาเหงา  และเขาก็ชวนคุยที่แปลกไปจากเดิม  เขาหยอดมากขึ้น  โทรมาคุยด้วย ทั้งๆที่แต่ก่อนก็ไม่เคย  เขาบอกหนูน่ารักจัง ขอจีบหน่อยได้ไหม
ด้วยนิสัยส่วนตัวผมไม่ชอบความวุ่นวาย เสียงดัง สถานที่ที่ผู้คนเบียดเสียด  การไปที่ที่คนเยอะๆ ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกหายเหงา  แต่ทุกๆ ครั้งมันกลับทำให้ผมเหงามากกว่าเดิม  ความเหงาสำหรับผมจึงไม่ได้เกิดจากการที่ผมไม่มีคนรอบข้าง  แต่เกิดจากความรู้สึก “ไร้ตัวตน” ในฝูงชนมากกว่า   หลายคนอาจมองว่า การไปสถานที่คนเยอะๆ ทำให้พวกเขาสนุก กล้าและมีกำลังทำสิ่งต่างๆ  เพราะพวกเขาสามารถสัมผัสถึงพลังงานด้านบวกจากการได้ทำอะไรไปพร้อมๆ กับผู้คนหมู่มาก  การกรี้ดไปพร้อมกับแฟนเพลงหรือแฟนกีฬาคนอื่นๆ การได้เต้นไปตามจังหวะเพลงและร้องเชียร์ทีมกีฬากับคนแปลกหน้าจำนวนมาก 
ตัวหนูเองเป็นคนขี้เหงาและขี้เบื่อมากๆ เป็นคนชอบอยู่กับคนอื่น ในขณะที่บางทีก็ชอบอยู่คนเดียว   หนูเคยคบกับคนคนนึงเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และเพิ่งเลิกกันไปเมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน   ความเหงาในชีวิตหนูมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่หนูย้ายมาเข้าชั้น ม.4 ที่โรงเรียนอื่น หนูมาเหมือนตัวคนเดียวทั้งๆที่เพื่อนในกลุ่มก็มาด้วยกัน แต่ก็ไม่ใช่คนที่หนูสนิทที่มาด้วยกัน ในตอนแรกๆมายังไม่เจอปัญหาอะไร แต่ด้วยความที่สังคมที่นี้ต่างจากโรงเรียนเดิมมากๆ หนูได้แต่โทรไประบายกับแม่และเพื่อนสนิททุกสัปดาห์   จนมาเทอม 2
ผมกับเพื่อนคนนี้เป็นเด็กซิ่วมาเรียนปีหนึ่งที่เดียวกันด้วยอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกันทำให้เราสนิทกันมาก  ...มากจนเกินไป จนทะเลาะกัน   ครั้งล่าสุดเป็นการการะทำที่ไร้สติของผมที่ทำในสิ่งที่เพื่อนผมเกลียดที่สุด จนถึงขั้นโกรธจะตัดเพื่อนกัน  มันจึงเกิดเป็นความเศร้าเสียใจกับกระทำของตัวเองที่ไม่มีสตินึกคิด ตัวผมเป็นโรคซึมเศร้า​ด้วย เลยควบคุมความคิดอารมณ์​ตัวเองไม่ได้นัก  ผมเครียด เสียใจมาก พยายามง้อพยายามขอโทษให้ถึงที่สุดเพราะกลัว  ...กลัวจะเสียเพื่อนคนสำคัญ​คนนี้ไป    จากคำพูดของผมประโยคหนึ่งที่ว่า  “ถึงครั้งนี้กูจะทำให้มึงโกรธเกลียดด้วยความตั้งใจหรือไม่นั้นกูก็ขอโทษจากใจ สำหรับที่ๆผ่านมาระยะ 1 ปี กูไม่เคยเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับมึงเลยหรอ
เราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เราเป็นคนที่เจอคนที่เข้ากับเราได้ยาก เป็นคนที่ไม่ได้พูดจาเก่ง ไม่ได้ชอบหรือเก่งเรื่องเข้าสังคม และด้วยวัฒนธรรม และ backgroud ที่ต่างจากเพื่อนต่างประเทศ ทำให้ในโรงเรียนที่เราไปแลกเปลี่ยนเรามีเพื่อนน้อยมาก แถมเพื่อนก็ไม่ได้ถึงขั้นสนิทกัน    ก่อนจะไปแลกเปลี่ยนเพื่อนที่ไทยพูดกับเราว่า “อย่าหายไปนะ” เราจำมันได้ดี แล้วก็เชื่อมั่นในคำพูดนี้มาก ๆ ในเดือนแรกเพื่อนก็ติดต่อตลอด คอลกัน เฟซไทม์หา แชทกัน
ฉันตัดสินใจออกจากกลุ่มมา เพราะความรู้สึกโดดเดี่ยว และหลังจากนั้นมา...ฉันก็อยู่ตัวคนเดียว   เป็นความผิดของฉันเองที่ทำให้แม้กระทั่งบรรดาอาจารย์เอือมระอา ทำให้เพื่อนๆทอดทิ้งฉัน และได้เริ่มต้นใหม่อย่างมีความสุข (ในขณะที่ตอนที่มีฉันอยู่ ทุกคนคงรู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่าย)   แต่ถึงอย่างนั้น...ความรู้สึกเจ็บที่ไม่ว่าใครๆก็ต่างก้าวต่อไปข้างหน้าโดยลืมฉันไปแล้ว (ไม่สิ ไม่สนใจการมีอยู่ของฉันอีกแล้ว) ยังแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนชาไปทั้งตัว ฉันไม่สามารถหันหน้ามองพวกเขาได้อีก ฉันกลัวที่ได้ยินเสียง หรือรับรู้เกี่ยวกับพวกเขา ฉันขอแยกห้องนอนกับพ่อแม่เพื่อจะได้ร้องไห้ตอนกลางคืนได้อย่างเต็มที่ ฉันไม่กล้าลุกออกจากเตียงเพื่อเริ่มต้นวันใหม่  
ตอนต้นเมษาที่ผ่านมาได้ตัดสินใจไปหาจิตแพทย์  เพราะเริ่มรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองมันทำเราทรมาน ได้ข้อสรุปว่าเป็นโรคซึมเศร้า ส่วนทางครอบครัวไม่ยอมรับ ทุกคนรอบตัวคิดว่าเราคิดมาก  เพราะเป็นคนเครียดง่าย ผิดหวังในตัวเองง่าย   เป็นคนคิดแง่ลบอยู่แล้ว แต่มันมาพีคตอนต้นปี คือตกงาน เคราะห์ซ้ำกรรมซัด แฟนบอกเลิก  หางานใหม่ก็โดนเขาหลอกว่าจะรับแต่ก็ไม่รับ  พ่อกับพี่สาวก็บอกว่าเราเป็นพวกมโน คิดมากไปเอง   ช่วงนั้นเรานอนทั้งวันจริงๆ ไม่ค่อยกินอะไร ชีวิตเอาแต่นอน 
ความกลัวที่จะศูนย์เสียมันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมากๆ  ยิ่งเป็นเรื่องความรัก เหมือนเดินบนเส้นด้ายที่ถ้าตกลงไปก็จมอยู่กับความเศร้า  และถ้าเค้าหันกลับมาประคองก็จะมีความสุขเหมือนลอยได้  แต่ถ้าเราหยุดและไม่เดินไปบนเส้นนั้นเลยจะดีกว่ามั้ย ?   เมื่อกลางปีที่แล้วเราได้เลิกกับแฟนที่คบมาตั้งแต่ ม.ปลาย  ตอนนั้นเราอยู่ปี 3 แล้ว  ซึ่งเราทั้ง 2 คนก็ผ่านอะไรกันมาเยอะพอสมควร  ยอมรับเลยว่ามันเกิดขึ้นเพราะอารมณ์ล้วนๆ    พอเวลาผ่านไปเราไม่รู้สึกอะไรเลย  แต่อยู่ดีๆ เรากลับมาคิดถึงเค้า 

 

Image is not available
เกี่ยวกับเรา
ติดต่อ
Slider