Stories

STORIES
เรื่องราวจากทางบ้าน
Slider

 

เราพึ่งย้ายมาอยู่หอของที่ทำงาน อยู่คนเดียวเลยออกเที่ยวบ่อย เพราะรู้สึกเหงามาก กว่าจะหลับในแต่ละคืน เที่ยว กินเหล้าบ่อยมาก   แต่เมื่อคืนมันกลับต่างออกไป เราดันนัดกินเหล้ากับคนคุยเก่า เราเคยคุย และเกือบคบ แต่เราเป็นคนทิ้งเขาไปเอง แต่หลังจากนั้นเราก็เคลียกัน จนเป็นเพื่อนกันได้   เป็นเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษากันมา 3 ปีละ ต่างคนต่างมีแฟนใหม่ แต่เผอิญดันโสดพร้อมๆกัน
คุณอาจจะรู้สึกคุ้นเคยกับสติ๊กเกอร์และสารพัดของกุ๊กกิ๊กที่ปรากฎในภาพ - ลูกไม้ ดวงกมล หรือนามแฝง Erdy (เออดี) เป็นนักวาดภาพประกอบอิสระที่ทำงานหลากหลายทั้งกราฟิก อินโฟ เวคเตอร์ ไปจนถึงสีน้ำ  แม้ผลงานจะเป็นที่นิยมในกลุ่มคนวัยเรียน แต่สำหรับลูกไม้แล้ว วัย 30 ปีของเธอ คือช่วงวัยที่ “โดนล้างสมองว่าต้องมีบ้านรถ และมีเงินเก็บหลายล้าน แต่เราก็แอบคิดว่า
ชีวิตเราเปลี่ยนไปหมด ตั้งแต่แม่เสีย พี่สาวแต่งงาน ทะเลาะกับเพื่อน ย้ายบ้าน  โดยที่ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วง 1 เดือน   ตอนแรกก็งง ปรับตัวพักใหญ่ พอทุกอย่างสงบปุ๊บ  เหงาเฉย เหงาหนักมาก รู้สึกเคว้ง วังเวง จนซึมไปเลย   หลังจากนั้นสักพัก จู่ๆ
จริงๆ ก็แอบเหงานะ... เวลาไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าจะไปเล่าให้ใครฟังดี   รู้สึกว่ามีเพื่อน...  แต่ไม่ค่อยกล้าทักใครก่อน แม้แต่เพื่อนที่สนิทมากๆ เพราะเรากลัวเพื่อนไม่อยากฟัง, ไม่ว่าง ซึ่งทั้งหมดคือ คิดไปเองทั้งนั้น โดยที่ไม่เคยถามเพื่อนก่อน   จริงๆ คิดว่า เราอาจจะแค่เป็นคนขี้เกรงใจหรือมีเพื่อนสนิทน้อยแค่นั้น แต่ความจริงที่ลึกลงไปกว่านั้นคือ... ประสบการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจเป็นบาดแผลในวัยเด็ก ที่เคยถูกเพื่อนแบน
ช่วงแรกของการเรียนมหาลัย เราพยายามช่วยให้เพื่อน 10 คนเรียน กับเพื่อนอีกคนนึง  เพราะเราค่อนข้างหัวไว พยายามกระตุ้น  แล้วเพื่อนอีกคนที่ช่วยก็ซิ่วไป เราเลยต้องแบกทีม    จนทะเลาะกันกับคนที่ไม่ได้ทำงาน 2 คน เรื่องใหญ่มาก  แล้วเราก็เลยแยกออกมาคนเดียว  เพราะเราให้ทั้งใจแต่เจอแบบนี้เลยรู้สึกแย่มาก    หลังจากนั้นก็กลัวการเข้าสังคมขึ้นมา  ไม่กล้ารู้จักใครได้นาน หรือสนิทมาก 
เราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เราเป็นคนที่เจอคนที่เข้ากับเราได้ยาก เป็นคนที่ไม่ได้พูดจาเก่ง ไม่ได้ชอบหรือเก่งเรื่องเข้าสังคม และด้วยวัฒนธรรม และ backgroud ที่ต่างจากเพื่อนต่างประเทศ ทำให้ในโรงเรียนที่เราไปแลกเปลี่ยนเรามีเพื่อนน้อยมาก แถมเพื่อนก็ไม่ได้ถึงขั้นสนิทกัน    ก่อนจะไปแลกเปลี่ยนเพื่อนที่ไทยพูดกับเราว่า “อย่าหายไปนะ” เราจำมันได้ดี แล้วก็เชื่อมั่นในคำพูดนี้มาก ๆ ในเดือนแรกเพื่อนก็ติดต่อตลอด คอลกัน เฟซไทม์หา แชทกัน
เคยรู้สึกว่าที่บางที่มันไม่เหมาะให้คนแบบเราอยู่ไหมคะ? รู้สึกแปลกแยกทุกครั้งที่อยู่บ้าน ทั้งที่มันคือบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เด็ก แต่กลับสบายใจเมื่อตอนตัดสินใจเดินออกมาเผชิญโลกกว้าง  รู้สึกว่าข้างนอกมันทำให้เราเป็นตัวเองมากขึ้น  ไม่รู้จักใคร ไม่มีใครรู้จักเรา ไม่ต้องแคร์สายตาคนอื่นมอง ไม่มีคำนินทาว่าร้าย    เราเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนเลยค่ะ เพื่อนสนิทจริงๆก็อยู่ห่างกัน  เวลาอยู่บ้านก็ชอบเก็บตัว อ่านหนังสือ ดูทีวี  ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายด้วย และจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องพูดคุยกับผู้คน   บ้านเราเป็นร้านขายของ แต่เราไม่ชอบพูด
ในฐานะคนที่สามารถเปิดรับเรื่องราวของผู้อื่นได้  ผมมักลงเอยที่จะเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด เพราะไม่ค่อยได้รับโอกาสให้คุยเรื่องที่ตัวเองสนใจ  และคนส่วนมากไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรที่แตกต่างไปจากความคาดหวังของตนเอง  การถูกละเลย มองข้ามความสำคัญ และการถูกเลือกปฏิบัติ จึงเป็นที่มาของความเศร้าที่ผมเผชิญอยู่บ่อยๆ   ผมมักอยู่ในสถานะที่ปรึกษาที่พร้อมจะหยุดสิ่งที่ทำอยู่ เพื่อให้เวลาใครก็ตามที่โทรหรือติดต่อผม  ผมอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาของผู้อื่นได้ทุกครั้ง  แต่อย่างน้อยผมเต็มใจที่จะรับฟังปัญหาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผม เพื่อให้คนอีกคนหนึ่งรู้สึกไม่โดดเดี่ยวและสบายใจขึ้น    แต่ในวันที่ที่ปรึกษาคนนี้ต้องการใครสักคน  เขากลับได้รับแต่คำตอบสั้นๆ แค่ว่า “แกคิดมาก” “อย่าคิดมากนะแก
หนูรู้จักกับเขาโดยบังเอิญ และเราก็คุยกันมาเรื่อยๆในฐานะพี่น้อง  ตอนแรกหนูแค่มีความรู้สึกดีด้วยเฉยๆ  คิดว่าเขาดูคุยง่าย เฟรนด์ลี่ดี คุยสนุก  มีอะไรเขาก็เป็นที่ปรึกษาแนะนำให้เราดี  เป็นเพื่อนคุยแก้เหงา  เขายอมให้หนูระบายสิ่งที่อึดอัดในใจ  ทำให้หนูมีความรู้สึกดีๆกับเขา...   วันหนึ่ง อยู่ๆเขาก็บอกว่า เขาเหงา  และเขาก็ชวนคุยที่แปลกไปจากเดิม  เขาหยอดมากขึ้น  โทรมาคุยด้วย ทั้งๆที่แต่ก่อนก็ไม่เคย  เขาบอกหนูน่ารักจัง ขอจีบหน่อยได้ไหม
ผมเพิ่งผ่านช่วงเลวร้ายของชีวิตมา วันนี้ก็เป็นวันที่เลวร้ายอีกวันหนึ่ง เพราะบุพการีมีปัญหาจากการถูกโจรกรรม    เศรษฐกิจ​ที่แย่ทำร้ายเราทุกคนอย่างรุนแรง เปลี่ยนคนให้เป็นอาชญากรได้ เรานึกสงสารโจรมากกว่าว่าเขาคงไม่เหลืออะไรแล้วจนต้องเลือกวิธีนี้ ก่อนหน้านี้เราหลอนประสาท กลัวคนทำร้าย  มองคนรอบตัวว่าทุกคนสมเพชเรา พร้อมจะซ้ำเติมเรา ทั้งๆที่ความเป็นจริงคืออาการกลัวไปเอง   เราค้นพบหลังจากพบแพทย์ว่าคนหลายๆคนก็ยังพร้อมที่จะให้กำลังใจเรา  แม้จะผิดพลาด ล้มเหลว เสียสติ ทำร้ายคนอื่นอย่างรุนแรงมามากมาย  และเราขอบคุณ​พวกเขามากๆที่ยังอยู่กับเรา   
แต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่จำความได้ ไม่มีเพื่อนคบ  เพราะเป็นคนแปลกๆ ไม่เข้าพวก โดนหาว่าเป็นคนบ้า เป็นออทิสติก เป็นพวกไม่สมประกอบ อัปลักษณ์    เพื่อนก็ไม่คบแถมต้องมาถูกล้อเลียนโดยเพื่อนทั้งโรงเรียน  ไปไหนมีแต่คนล้อ มีคนแกล้ง ถูกไถตังค์ด้วย  เลยเก็บกดมากๆ เกลียดทุกคน อิจฉาทุกคน เหมือนแพ้แล้วพาล    ช่วงนั้นตัวเองเหมือนส่วนเกินทุกอย่าง
ตัวหนูเองเป็นคนขี้เหงาและขี้เบื่อมากๆ เป็นคนชอบอยู่กับคนอื่น ในขณะที่บางทีก็ชอบอยู่คนเดียว   หนูเคยคบกับคนคนนึงเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และเพิ่งเลิกกันไปเมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน   ความเหงาในชีวิตหนูมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่หนูย้ายมาเข้าชั้น ม.4 ที่โรงเรียนอื่น หนูมาเหมือนตัวคนเดียวทั้งๆที่เพื่อนในกลุ่มก็มาด้วยกัน แต่ก็ไม่ใช่คนที่หนูสนิทที่มาด้วยกัน ในตอนแรกๆมายังไม่เจอปัญหาอะไร แต่ด้วยความที่สังคมที่นี้ต่างจากโรงเรียนเดิมมากๆ หนูได้แต่โทรไประบายกับแม่และเพื่อนสนิททุกสัปดาห์   จนมาเทอม 2
หนูเป็นเด็กที่ไม่อยากโตค่ะ  เป็นเด็กที่ไม่ค่อยยุ่งกับใคร มักมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับตัวเอง  หลายๆครั้งหนูชอบมองคนที่เดินผ่านไปมา ทั้งเพื่อน พ่อ แม่ หรือว่าผู้ใหญ่วัยทำงานหลายๆคน   ตัวหนูเป็นเเบบนี้มาตั้งแต่ช่วง ม.3 ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ช่วง ม.ปลาย  มันเป็นครั้งแรกที่ทำให้มีความรู้สึกที่กลัวการเติบโต  รู้สึกว่าข้างหน้ามันต้องมีอะไรที่เราทำไม่ได้    อีกไม่นานเราต้องเริ่มเป็นเหมือนพี่ ม.ปลาย บางคนที่นั่งเครียดอ่านหนังสือ  เหมือนพี่
ฉันตัดสินใจออกจากกลุ่มมา เพราะความรู้สึกโดดเดี่ยว และหลังจากนั้นมา...ฉันก็อยู่ตัวคนเดียว   เป็นความผิดของฉันเองที่ทำให้แม้กระทั่งบรรดาอาจารย์เอือมระอา ทำให้เพื่อนๆทอดทิ้งฉัน และได้เริ่มต้นใหม่อย่างมีความสุข (ในขณะที่ตอนที่มีฉันอยู่ ทุกคนคงรู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่าย)   แต่ถึงอย่างนั้น...ความรู้สึกเจ็บที่ไม่ว่าใครๆก็ต่างก้าวต่อไปข้างหน้าโดยลืมฉันไปแล้ว (ไม่สิ ไม่สนใจการมีอยู่ของฉันอีกแล้ว) ยังแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนชาไปทั้งตัว ฉันไม่สามารถหันหน้ามองพวกเขาได้อีก ฉันกลัวที่ได้ยินเสียง หรือรับรู้เกี่ยวกับพวกเขา ฉันขอแยกห้องนอนกับพ่อแม่เพื่อจะได้ร้องไห้ตอนกลางคืนได้อย่างเต็มที่ ฉันไม่กล้าลุกออกจากเตียงเพื่อเริ่มต้นวันใหม่  
ความกลัวที่จะศูนย์เสียมันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมากๆ  ยิ่งเป็นเรื่องความรัก เหมือนเดินบนเส้นด้ายที่ถ้าตกลงไปก็จมอยู่กับความเศร้า  และถ้าเค้าหันกลับมาประคองก็จะมีความสุขเหมือนลอยได้  แต่ถ้าเราหยุดและไม่เดินไปบนเส้นนั้นเลยจะดีกว่ามั้ย ?   เมื่อกลางปีที่แล้วเราได้เลิกกับแฟนที่คบมาตั้งแต่ ม.ปลาย  ตอนนั้นเราอยู่ปี 3 แล้ว  ซึ่งเราทั้ง 2 คนก็ผ่านอะไรกันมาเยอะพอสมควร  ยอมรับเลยว่ามันเกิดขึ้นเพราะอารมณ์ล้วนๆ    พอเวลาผ่านไปเราไม่รู้สึกอะไรเลย  แต่อยู่ดีๆ เรากลับมาคิดถึงเค้า 
ด้วยนิสัยส่วนตัวผมไม่ชอบความวุ่นวาย เสียงดัง สถานที่ที่ผู้คนเบียดเสียด  การไปที่ที่คนเยอะๆ ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกหายเหงา  แต่ทุกๆ ครั้งมันกลับทำให้ผมเหงามากกว่าเดิม  ความเหงาสำหรับผมจึงไม่ได้เกิดจากการที่ผมไม่มีคนรอบข้าง  แต่เกิดจากความรู้สึก “ไร้ตัวตน” ในฝูงชนมากกว่า   หลายคนอาจมองว่า การไปสถานที่คนเยอะๆ ทำให้พวกเขาสนุก กล้าและมีกำลังทำสิ่งต่างๆ  เพราะพวกเขาสามารถสัมผัสถึงพลังงานด้านบวกจากการได้ทำอะไรไปพร้อมๆ กับผู้คนหมู่มาก  การกรี้ดไปพร้อมกับแฟนเพลงหรือแฟนกีฬาคนอื่นๆ การได้เต้นไปตามจังหวะเพลงและร้องเชียร์ทีมกีฬากับคนแปลกหน้าจำนวนมาก 
ผมกับเพื่อนคนนี้เป็นเด็กซิ่วมาเรียนปีหนึ่งที่เดียวกันด้วยอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกันทำให้เราสนิทกันมาก  ...มากจนเกินไป จนทะเลาะกัน   ครั้งล่าสุดเป็นการการะทำที่ไร้สติของผมที่ทำในสิ่งที่เพื่อนผมเกลียดที่สุด จนถึงขั้นโกรธจะตัดเพื่อนกัน  มันจึงเกิดเป็นความเศร้าเสียใจกับกระทำของตัวเองที่ไม่มีสตินึกคิด ตัวผมเป็นโรคซึมเศร้า​ด้วย เลยควบคุมความคิดอารมณ์​ตัวเองไม่ได้นัก  ผมเครียด เสียใจมาก พยายามง้อพยายามขอโทษให้ถึงที่สุดเพราะกลัว  ...กลัวจะเสียเพื่อนคนสำคัญ​คนนี้ไป    จากคำพูดของผมประโยคหนึ่งที่ว่า  “ถึงครั้งนี้กูจะทำให้มึงโกรธเกลียดด้วยความตั้งใจหรือไม่นั้นกูก็ขอโทษจากใจ สำหรับที่ๆผ่านมาระยะ 1 ปี กูไม่เคยเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับมึงเลยหรอ
ตอนต้นเมษาที่ผ่านมาได้ตัดสินใจไปหาจิตแพทย์  เพราะเริ่มรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองมันทำเราทรมาน ได้ข้อสรุปว่าเป็นโรคซึมเศร้า ส่วนทางครอบครัวไม่ยอมรับ ทุกคนรอบตัวคิดว่าเราคิดมาก  เพราะเป็นคนเครียดง่าย ผิดหวังในตัวเองง่าย   เป็นคนคิดแง่ลบอยู่แล้ว แต่มันมาพีคตอนต้นปี คือตกงาน เคราะห์ซ้ำกรรมซัด แฟนบอกเลิก  หางานใหม่ก็โดนเขาหลอกว่าจะรับแต่ก็ไม่รับ  พ่อกับพี่สาวก็บอกว่าเราเป็นพวกมโน คิดมากไปเอง   ช่วงนั้นเรานอนทั้งวันจริงๆ ไม่ค่อยกินอะไร ชีวิตเอาแต่นอน 
เราจะรู้สึกเหงาทุกครั้งเมื่อคิดถึงเพื่อนเก่าๆ  เรามักจะคิดว่าทำไมเราถึงไม่มีเพื่อนเหลือเลย  เราทำผิดตรงไหนรึป่าว?    ตอนเด็ก เราเคยเป็นคนที่ชอบบังคับคนอื่น มองโลกในแง่ลบ และคอยจ้องจับผิดว่าคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี  เราคิดว่าเพราะนิสัยแบบนี้เลยทำให้เราไม่มีเพื่อนสนิทเลย  พอขึ้นมหาลัย เราเลยเปลี่ยนตัวเองและก็มีเพื่อนที่รู้สึกสนิทใจด้วย  จนเรียนจบ เราคิดว่าความสัมพันธ์นี้จะยืนยาว... แต่เพราะหลายปีมานี้เรากับเพื่อนแทบจะไม่ได้เจอกัน แล้วความสัมพันธ์ก็ค่อยๆลดลง    ตอนนี้เราไม่ได้คุยกับเพื่อน เราคิดว่าอยู่ได้  แต่พอเห็นภาพของคนอื่นๆในเฟส  เราก็คิดว่าทำไมเราถึงไม่คุยกับเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ 
การที่เรามองว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดี แต่วันหนึ่งสิ่งที่คิดมันไม่จริงขึ้นมาคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่เหมือนกัน   จะต้องรู้สึกอย่างไรดีถ้าคนที่เรายกให้เขาเป็นเพื่อน เขาไม่เคยมองเราเป็นเพื่อนเลย จะต้องทำหน้าอย่างไร ถ้ารู้ว่าเขาพูดถึงเราด้วยท่าทางและสีหน้า ที่บ่งบอกถึงความรังเกียจและไม่ชอบเรา ในตอนที่เราไม่รู้   จะต้องทำตัวอย่างไรถ้าตอนที่เรายิ้มให้เขา แล้วเขาก็ยิ้มกลับมาแบบไม่มีอะไร  ทั้งที่จริงๆก่อนหน้านั้นเขาพูดจาทำร้ายจิตใจเรามาก่อน   เรื่องมันก็ตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว  สมัยนั้นมีกลุ่มเพื่อนกลุ่มใหญ่ เพื่อนน่ารักคุยกันได้ สนิทกันช่วยเหลือกัน แต่พอนานๆเข้า มันกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
ความเหงาเป็นสิ่งที่ไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่าจะเจอกับตัวเอง   ตอนเด็กๆจำได้ว่าเป็นเด็กที่สามารถสนุกผ่านจินตนาการตัวเอง อิสระ ไร้ซึ่งแรงกดดัน แต่พอโตขึ้นความกลัวก็เริ่มเกาะกินใจ ....เด็กในวันนั้นหายไปไหน...   ไม่มีเสียงตอบรับ...   ทุกๆวันใช้ชีวิตกับคำถามที่ว่าเราเป็นอะไรกันแน่ ?    เมื่อความกลัวเข้าถึงแก่นก็ทำให้รับรู้ได้ว่าโลกนี้มันช่างแย่เสียเหลือเกิน  และความเศร้าก็เริ่มตามมา    เราเถียงกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา  จนสุดท้ายต้องเว้นระยะจากทุกคน  เพื่อให้ทุกคนไม่มาเจ็บปวดกับสิ่งเหล่านี้  
มันคือรอยแตกร้าวที่ไม่มีวันประสานกลับ ความุรนแรงที่เธอได้กระทำแก่ฉันมันคือการสร้างรอยแตกร้าวของจิตใจที่ไม่มีวันประสานกลับให้เป็นเหมือนเดิมได้   เธอฟาดฝ่ามือของเธอลงบนใบหน้าของฉัน ในหลายครั้งที่เรามีปากเสียง มีอารมณ์เกิดขึ้นและอยู่เหนือการควบคุมของเธอ หรือเป็นเพราะฉันเองที่ร้องไห้ไม่หยุด ส่วนมากฉันคงเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะฉันเป็นเจ้าแม่ร้องไห้ เธอลงมือทำมันกับฉันแม้ว่าฉันไม่ได้ลงมือเริ่มหรือโต้ตอบต่อความรุนแรงใดๆ ทุกครั้งที่ถูกตบหน้านอกจากความเจ็บปวดต่อร่างกายแล้ว มันเกิดความเจ็บปวดทางจิตใจทวีคูณ "เธอหวังให้ฉันหยุดร้องไห้ด้วยความรุนแรงอย่างนั้นหรือ"   บางครั้ง...เธอกดฉันลงบนพื้นห้องด้วยมือทั้งสองข้าง ด้วยแขนอันแข็งแกร่งของเธอ แค่เพียงเพราะเธอต้องการให้ฉันหยุดร้องไห้ แต่มันกลับยิ่งทำให้ฉันร้องไห้หนักกว่าเดิม เพราะความเจ็บ เจ็บที่กายและใจไปพร้อมๆกัน

 

Image is not available
เกี่ยวกับเรา
ติดต่อ
Slider